Friday, January 24, 2014

แม่น้ำฮัน

 HAN-GANG RIVER CRUISE ล่องแม่น้ำฮัน แม่น้ำฮัน เป็นเม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของประเทศเกาหลี ตลอดความยาว 15 กม. ที่เรือเล่น จากท่าเรือชัมชิลหรือยอ-อิ-โด สองข้างทางแม่น้ำฮัน จะขนาบด้วยถนน สวนสาธารณะอนุเสาวรีย์ ตึกรามบ้านช่องทั้งแบบดั้งเดิมและทันสมัยความใสสะอาดของแม่น้ำฮัน




Thursday, January 9, 2014

Colmar

กอลมาร์ (ฝรั่งเศสColmar,) เมืองกอลมาร์เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอ-แร็งในแคว้นอาลซัสในประเทศฝรั่งเศส เมืองกอลมาร์ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส
เมืองกอลมาร์ตั้งอยู่บน “เส้นทางไวน์ของอาลซัส” และได้ชื่อว่าเป็น “capitale des vins d'Alsace” (เมืองหลวงแห่งไวน์แห่งอาลซัส)
ในปี ค.ศ. 2006 เมืองกอลมาร์มีประชากรทั้งสิ้น 65,713 คน และในปริมณฑลอีก 120,367 คน กอลมาร์เป็นศูนย์กลางของเขตกอลมาร์ที่มีประชากร 144,700 คนในปี ค.ศ. 2006
กอลมาร์เป็นบ้านเกิดของจิตรกรและช่างแกะพิมพ์มาร์ติน โชนเกาเออร์ และประติมากรเฟรเดริก โอกุสต์ บาร์ตอลดีผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ กอลมาร์มีชื่อเสียงในการอนุรักษ์เมืองให้ยังคงเป็นเมืองที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมและบรรยกาศของเมืองโบราณ ในตัวเมืองเก่าก็มีพิพิธภัณฑ์ คริสต์ศาสนสถาน และร้านค้าและที่อยู่อาศัยที่คงสภาพเหมือนเมืองในยุคกลาง

เบิร์น เมืองหลวงของประเทศสวิสเซอร์แลนด์

การท่องเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) หรือ สมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation) คืออีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยว ซึ่งตั้งอยู่กลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์ (Alps) เทือกเขาใหญ่ของยุโรปโดยครอบคลุมตั้งแต่ออสเตรีย อิตาลี และสโลวีเนียทางด้านตะวันออก ไปจนถึงสวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ เยอรมนี และฝรั่งเศสทางด้านตะวันตก




กรุงเบิร์น

     ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ทิศเหนือ ติดกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทิศตะวันออก ติดกับออสเตรีย และลิคเตนสไตน์ ทิศใต้ ติดกับอิตาลี ทิศตะวันตก ติดกับฝรั่งเศส โดยมี กรุงเบิร์น (Berne) เป็นเมืองหลวงของประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วย

     กรุงเบิร์น หรือ เมืองเบิร์น อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและยังเป็นเมืองหลวงของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1191 โดย Duke Berthold V von Zahringen นอกจากนี้แล้วกรุงเบิร์นยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย





กรุงเบิร์น

     และในปีค.ศ. 1863 กรุงเบิร์นได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) นอกจากนี้กรุงเบิร์นยังถูกจัดอันดับอยู่ใน 1 ใน 10 ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของโลกในปี ค.ศ.2010 อีกด้วย

     กรุงเบิร์น เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์สำคัญๆจำนวนมาก สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่อยากแนะนำให้คุณไปเยือน คือ ย่านเมืองเก่าเบิร์น (Old City of Berne) ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางกรุงเบิร์น ย่านเมืองเก่าแห่งนี้ได้รับการบรรจุไว้ในรายชื่อมรดกโลกในปี ค.ศ.1983





ย่านเมืองเก่าเบิร์น

     ย่านเมืองเก่าเบิร์น ถูกก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตั้งอยู่บนภูเขาล้อมรอบด้วยแม่น้ำอาเร (Aare River) สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่อยากให้คุณไปเยือน คือ ซึทกลอกเกอ (Zytglogge) หอนาฬิกายุคกลางที่มีชื่อเสียงที่สุดของย่านเมืองเก่าเบิร์น ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงเบิร์น




ย่านเมืองเก่าเบิร์น

     ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน มึนซเตอร์ (Munster) โบสถ์โปรเตสแตนต์โกธิค (Protestant Gothic ) ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1421 และเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1893 ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ได้กลายเป็นโบสถ์ที่สูงที่สุดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ คือ มีความสูงจาก 100.6 เมตร (330 ฟุต) และที่โดดเด่นมากที่สุดก็คงจะเป็นประตูจะมีภาพที่บรรยายถึงการตัดสินครั้งสุดท้ายของพระเจ้า ผลงานชิ้นเอกนี้อยู่ทางเหนือทางเข้า 344 ขั้น




ซึทกลอกเกอ

     หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปเยือน อาคารรัฐสภา (Parliament buildings , Bundeshaus) อีกหนึ่งอาคารที่มีชื่อเสียงของกรุงเบิร์น ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1857-1902 ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Hans Auer อาคารโดดเด่นด้วยโดมมีความสูงภายนอกประมาณ 64 เมตร และความสูงภายในประมาณ 33 เมตร




อาคารรัฐสภา

     สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปชม สะพานหินโบราณ (Untertorbrucke,Lower Gate Bridge) เป็นหินสะพานโค้งที่ใช้ในการสัญจรข้ามแม่น้ำอาเร ปัจจุบันเป็นสะพานหินที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงเบิร์น อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่มีวคามสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเบิร์นอีกด้วย 

Le mont saint michel

มง-แซ็ง-มีแชล (ฝรั่งเศสLe Mont-Saint-Michel) คือวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลชายฝั่งตะวันตก บริเวณจังหวัดม็องช์ แคว้นบัส-นอร์ม็องดีของประเทศฝรั่งเศส ได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2522 ภายใต้ชื่อ มง-แซ็ง-มีแชลและอ่าว
ในปีหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมง-แซ็ง-มีแชลกว่า 3 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยงยอดนิยมอันดับที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศสรองลงมาจากหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย
ตัวเกาะอันเป็นที่ตั้งของวิหารนั้นเป็นหินแกรนิต โดยมีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตร และสูง 92 เมตร แล้วถ้าบวกกับความสูงของตัววิหารนั้นแล้วก็จะมีความสูงถึง 155 แมตร ถือเป็นปราการธรรมชาติตั้งแต่สมัยยุคกลาง โดยตั้งชื่อตามวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขานั่นเอง บนยอดวิหารเป็นรูปปั้นทองของอัครทูตสวรรค์มีคาเอล (นักบุญมิคาเอล) สร้างโดยเอมานูแอล เฟรมีเย (Emmanuel Frémiet)
ในปัจจุบัน มีประชากรอยู่อาศัยบนเกาะ 44 คน จากสถิติ ณ ปีค.ศ.2009

ประวัติ

ก่อนที่จะมีการสถาปนาราชวงศ์แรกของฝรั่งเศสขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 เกาะนี้เคยถูกเรียกว่า มงตงบ์ (Mont Tombe) และตามตำนาน วิหารที่อยู่บนเกาะนี้ถูกสร้างโดยการแนะนำของเทวดามีแชล ที่ได้เข้าฝันนักบุญโอแบร์ บิชอปแห่งมาฟร็องช์เมื่อปี พ.ศ. 1251 แต่เขาก็มิได้ปฏิบัติตาม เนื่องจากนึกว่าปีศาจได้มาเข้าฝัน เขาจึงได้เพิกเฉยไป จนมาถึงการฝันครั้งที่ 3 มีแชลได้ใช้นิ้วของเขาจิ้มที่หัวของโอแบร์ และเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ตะลึงว่ามีรูอยู่บนหัวจริง ๆ จากนั้นมาเขาจึงตัดสินใจสร้างวิหารบนยอดเขา
ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เนื่องจากไม่มีพระจำพรรษา ตัววิหารได้ถูกเปลี่ยนเป็นที่คุมขังนักโทษสำคัญการเมือง จนกระทั่งวิกตอร์ อูโก ได้มีบทบาทสำคัญในการรณรงค์เพื่อคืนความเป็นสิ่งก่อสร้างสำคัญทางสถาปัตยกรรมของชาติ และในที่สุดได้มีการยกเลิกการเป็นเรือนจำ และได้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในปีค.ศ. 1874
ในปีค.ศ.1979 ได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรม โดยองค์การยูเนสโก

การเดินทาง

ในอดีตการเดินทางไปยังมง-แซ็ง-มีแชล จะเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยถนนที่สามารถเดินทางได้ในช่วงน้ำลงเท่านั้น เนื่องจากระดับน้ำปกติจะท่วมและปิดกั้นผิวถนน โดยนักท่องเที่ยวและนักแสวงบุญ สามารถจอดรถได้ในช่วงที่น้ำลง และเนื่องจากมีถนนที่ตัดเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ ทำให้ทิศทางไหลของน้ำเกิดการผันแปร และเป็นผลทำให้ระยะทางระหว่างเกาะ กับแผ่นดินใหญ่นั้นสั้นลง อันเกิดจากการสะสมของดินตะกอนปากแม่น้ำ จนกระทั่งในปีค.ศ. 2006 นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลได้เริ่มโครงการเขื่อนกั้นน้ำ โดยจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยคืนสภาพความเป็นเกาะให้กับมง-แซ็ง-มีแชล โดยอาศัยการไหลของน้ำเพื่อชะล้าง และลดการสะสมของดินตะกอน โดยคาดว่าโครงการจะสำเร็จช่วงปีค.ศ.2015 ส่วนหนึ่งของโครงการคือสร้างเขื่อนกั้นน้ำ โดย ณ ปัจจุบันเสร็จสิ้นแล้ว รวมถึงการเปลี่ยนถนนที่เชื่อมกับแผ่นดินเป็นสะพาน เพื่อให้น้ำสามารถหมุนเวียนได้โดยรอบเกาะ รวมถึงการย้ายที่จอดรถไปยังแผ่นดินใหญ่ โดยนักท่องเที่ยวจะสามารถจอดรถได้บนฝั่ง โดยจะมีรถรับส่งบริการจากจุดจอดรถถึงบริเวณเกาะ





สิ่งที่ควรรู้ 70


สิ่งที่ควรรู้ 69


สิ่งที่ควรรู้ 68




สิ่งที่ควรรู้ 67


สิ่งที่ควรรู้ 66


สิ่งที่ควรรู้ 65


สิ่งที่ควรรู้ 64


สิ่งที่ควรรู้ 63


สิ่งที่ควรรู้ 62


Friday, January 3, 2014

สิ่งที่น่ารู้ 61


เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ ประเทศเนเธอร์แลนด์

1. เนเธอร์แลนด์คือชื่อประเทศส่วนฺฮอลแลนด์คือชื่อจังหวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศเพราะเป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญ คนทั่วไปจึงรู้จักในชื่อนี้ ส่วนฮอลันดาคือชื่อแบบไทย

2. ในภาษาอังกฤษเขียน The Netherlands ส่วนในภาษาดัทช์เขียน Nederland  อ่านว่า เนเดอลองท์ แปลว่าแผ่นดินต่ำ 


3. The Netherlands, The Philippines, The United States เป็นสามประเทศ (ไม่แน่ใจ) ที่มี The นำหน้าและ s ต่อท้าย


4. เนเธอร์แลนด์มีสามเมืองหลวง Amsterdam เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ 

Hague เป็นเมืองหลวงด้านการปกครอง รัฐสภา กระทรวงและสถานทูตตั้งอยู่ในเมืองนี้ทั้งหมด แม้แต่ศาลโลก  
Rotterdam เป็นเมืองหลวงทางเศรษฐกิจ เมืองนี้มีท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และเคยใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่งโดนท่าเรือที่เซี่ยงไฮ้แซงไปเมื่อไม่นาน


5. ประเทศนี้กั้นทะเลและสูบน้ำออกจนสามารถตั้งเป็นจังหวัดใหม่ คือ Fleveland

ดังนั้นจึงมีคำพูดว่า God created the world but Dutch created the Netherlands เป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลย หนึ่งในสามของพื้นที่ประเทศอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนและระบายน้ำทะเลออกไป

6. คนดัทช์ทุกคนว่ายน้ำเป็นเพราะเป็นกฏหมายที่นี่ เผื่อกรณีฉุกเฉินที่เขื่อนกั้นน้ำพังเหมือนเมื่อเคยเกิดมาแล้ว


7. โครงการ Delta เป็นโครงการป้องกันชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก


8. ดอกไม้ประจำชาติคือทิวลิป แต่มีต้นกำเนิดจากตุรกี แต่ดอกไม้ที่ผลิตมากที่สุดคือกุหลาบ


8. อาหารประจำชาติคือ สตัมพอท ก็คือการเอามันฝรั่งมาบดผสมกับผักดองและเครื่องเทศ


9. สีประจำชาติคือสีส้ม มาจากสีประจำราชวงศ์คือราชวงศ์ Orange 

10. สัตว์ประจำชาติคือสิงโต 

11. กีฬาประจำชาติคือสเกตน้ำแข็ง ทางเหนือของประเทศจะมีการแข่งสเกตน้ำแข็งมาราธอนไปตามคลองผ่านสิบเอ็ดเมือง ซึ่งไม่ได้จัดมาสิบสามปีแล้วเพราะโลกร้อน


12. ดอกคาร์เนชั่นสีแดงเป็นดอกไม้ต้องห้ามในเนเธอร์แลนด์เพราะมีความเกี่ยวข้องกับทหารเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง


13. คนดัทช์บางคนไม่ชอบคนเยอรมันอยู่ลึกๆ เพราะโดนนาซีถล่มซะยับเยิน บางคนต้องไปขุดหัวทิวลิปเพื่อยังชีพ สิ่งที่คนดัทช์อยากเห็นมากที่สุดก็คือ การที่ทีมชาติฮอลแลนด์เจอกับทีมชาติเยอรมันในฟุตบอลโลก แล้วทุกคนก็จะอยู่บ้านดูโทรทัศน์


14. คนดัทช์ลึกๆแล้วดูถูกประเทศเบลเยี่ยม เพราะเคยเป็นประเทศเดียวกันมาก่อนแล้วมาแยกกันทีหลัง แต่ตอนนี้ฮอลแลนด์เจริญกว่า มองไป คล้ายๆกับความสัมพันธ์ไทยกับลาว


15. คนดัทช์เป็นคนที่มีความสูงเฉลี่ยมากที่สุดในยุโรป


16. คนดัทช์เป็นชาติที่ Open มาก การทำแท้ง โสเภณี กัญชา การแต่งงานของชาวรักร่วมเพศ Mercy kill เป็นสิ่งที่ถูกกฏหมายที่นี่


17. Coffe shop ที่นี่หมายถึงที่ไปพี้กัญชา ส่วนที่ไปกินกาแฟคือ Coffee bar 


18. รองเท้าเป็นสิ่งสำคัญที่นี่ ต้องใส่ให้ถูกกาละเทศะ เจ้าหน้าที่ในผับ คาเฟ่ ร้านอาหารสามารถเชิญคุณออกจากร้านได้ ถ้าคุณใส่รองเท้ากีฬาเข้าไป

19. ยังสามารถเห็นเกษตรกรและกรรมกรบางคนใส่รองเท้าไม้กันอยู่นะ
คนดัทช์เป็นคนที่ตรงมาก จะไม่มีทางพูดอ้อมค้อมเป็นพระยาเลียบค่ายเด็ดขาด ถ้าไม่ดีคนดัทช์จะบอกว่า It is bad.แต่คนอังกฤษจะบอกว่า There is a room for the improvement 
20. คนดัทช์ไม่นิยมปิดม่าน เพราะถือว่าไม่จำเป็นต้องอายเมื่อดูแลบ้านเป็นอย่างดี

21. แต่คนดัทช์ก็ชอบความเป็นส่วนตัวมากๆ ต้องนัดก่อนทุกครั้งก่อนไปบ้านใคร

และวันอาทิตย์คือวันพักผ่อนจริงๆ 

22. อย่าไปพูดเรื่องแยกดินแดนกับชาวฟรีเซียนทางเหนือเด็ดขาด


23. อากาศที่ฮอลแลนด์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มีคำพูดอยู่ว่าถ้าคุณไม่ชอบอากาศตอนนี้ ก็รออีกสักชั่วโมง มันก็จะเปลี่ยนไปแล้ว คุณสามารถเห็นแดดออก ฝนตก ลูกเห็บ และหิมะในวันเดียวกันที่นี่


24. คนดัทช์นอกจากว่ายน้ำได้แล้ว ยังขี่จักรยานได้ทุกคน ดังนั้นจึงเป็นประเทศที่มีจักรยานมากกว่าจำนวนประชากร


25. นักธุรกิจใส่สูทปั่นจักรยานไปทำงานเป็นสิ่งที่เป็นปกติที่นี่

26. คนดัทช์ให้ความสำคัญกับเวลาพักมาก แม้แต่ชาวนาเมื่อถึงสิบโมงครึ่ง ก็ต้องขับรถแทรกเตอร์กลับบ้านไปดื่มชาหรือกาแฟ แล้วค่อยมาทำงานใหม่

27. คนดัทช์รักสัตว์ เที่ยงคืนตีหนึ่ง แม้แต่ในหน้าหนาว คุณยังสามารถเห็นคนดัทช์จูงหมาไปเดินเล่นได้


28. เนเธอแลนด็มีพื้นที่เพียง 0.03% ของพื้นผิวโลกแต่ส่งออกสินค้าเกษตรมากเป็นอันดับสามของโลกรองจาก อเมริกา และฝรั่งเศส


29. ตลาดประมูลดอกไม้ที่ Almeer ได้ชื่อว่าเป็นดาวน์โจน ของพืชสวนโลก มากกว่าครึ่งของดอกไม้ทั่วโลกถูกส่งมาประมูลที่นี่ 


30. เสียง G และ Ch ในภาษาดัทช์ออกเสียงเหมือนเสียงขากสเลด สัญนิษฐานว่าคงเป็นเพราะอากาศที่นี่ไม่ค่อยดี จึงทำให้คนเป็นหวัดกันบ่อย เลยมีผลต่อภาษา


31. การนับในภาษาดัทช์จะแตกต่างจากภาษาไทยและ อังกฤษ อย่างเช่น 23 ภาษาไทยและอังกฤษจะนับว่า ยี่สิบสาม แต่ในภาษาดัทช์จะนับสามและยี่สิบ


32. ประเทศนี้จ่ายภาษีกันโหดมาก ภาษีเงินได้เฉลี่ย 30-40% ภาษีมูลค่าเพิ่ม 19%

33. อีกอย่างคือประเทศนี้มีฟิตเนสเปลือยและดิสโกเงียบแห่งแรกของโลก