Monday, October 26, 2015

10 ภาษาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน

1. ภาษาจีนกลาง (Mandarin / 普通话)
       
       "สวัสดี" ในภาษาจีนกลางพูดว่า "Ni hao" (หนี-ห่าว)
       
        ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในโลกประกอบไปด้วยหลากหลายชาติพันธุ์ จึงเป็นเหตุให้มีภาษาจีนกว่า 300 ภาษาในแต่ละพื้นที่ แต่ภาษาที่ใช้เป็นภาษาราชการของประเทศจีนคือ “ภาษาจีนกลาง” หรือ “ภาษาแมนดาริน” จากการรายงานในปี 2014 ภาษาจีนกลางเป็นภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในโลกกว่า 1 พันล้านคน มากเป็นสองเท่าของจำนวนคนที่พูดภาษาอังกฤษ และยังได้บรรจุเป็นภาษาของสหประชาติ (UN) อีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และได้รับการคาดการณ์ไว้ว่าในปี ค.ศ.2020 ประเทศจีนจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโลกอย่างแน่นอน การเรียนรู้ภาษาจีนกลางจึงจำเป็นและสำคัญมากในอนาคต รวมไปถึงผลการสำรวจภาษาที่มีการใช้มากที่สุดในอินเตอร์เน็ตภาษาจีนติดอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก รองจากภาษาอังกฤษ แม้จะเป็นภาษาที่ถือได้ว่ายากต่อการเรียนรู้ภาษาหนึ่ง แต่หากคุณสามารถสื่อสารทั้งเขียนและพูดภาษาจีนกลางได้เป็นอย่างดีแล้วหละก็ รับรองว่ามีผลต่ออาชีพหน้าที่การงานในอนาคตอย่างแน่นอน
         
2. ภาษาสเปน (Spanish / Español)
        
       "สวัสดี" ในภาษาสเปนพูดว่า "Hola" (โอ-ลา)
       
        ภาษาสเปนถูกใช้เป็นภาษาราชการในสามทวีป รวมแล้วกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และยังพบว่ามีคนพูดภาษาสเปนได้ถึง 400 ล้านคน จากการสำรวจในปี 2014 นอกจากนี้ภาษาสเปนยังเป็นภาษาที่สองของประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ดูได้จากผลการสำรวจสำมะโนประชากรในสหรัฐอเมริกาพบว่า ภาษาสเปน เป็นภาษาเริ่มแรกที่ใช้พูดกันในครอบครัวในช่วงอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปประมาณ 38.3 ล้านคน และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความสำคัญในด้านของเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่างประเทศ จำเป็นต่อการประกอบอาชีพของประชากร ภาษาสเปนจึงเป็นที่นิยมมากในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้มีการคาดการณ์ไว้ว่า คนที่มีสามารถพูดและสื่อสารภาษาสเปนได้ดีจะทำให้มีอัตราค่าจ้างเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1.7 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ภาษาสเปนยังเป็นภาษาที่ใช้ในอินเตอร์เน็ตมากที่สุดอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากภาษาจีน และภาษาอังกฤษ นั่นเอง  
       
3. ภาษาญี่ปุ่น ( Japanese/ 日本語 )
       
       "สวัสดี" ในภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “Hajimemashite” (ฮะ-จิ-เมะ-มะ-ชิ-เตะ)
       
        ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีทั้งการลงทุนและขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงทำให้ภาษาญี่ปุ่นยังคงเป็นภาษาที่มีอิทธิพลมาก ผู้คนทั่วโลกต้องการที่จะศึกษาภาษาญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารทำธุรกิจกับนายทุนจากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง และนอกเหนือจากด้านของการทำธุรกิจแล้ว ภาษาญี่ปุ่นยังมีความน่าสนใจในด้านของวรรณกรรมต่างๆ การที่เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้ก็สามารถทำให้เราอ่านหนังสือดีๆ ของประเทศญี่ปุ่นได้อีกมากด้วยเช่นกัน ปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยคิดเป็น 40% ของบริษัทต่างชาติทั้งหมด ในหลายองค์กรจึงต้องการบุคลากรที่มีความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนในประเทศญี่ปุ่นยังพูดภาษาอังกฤษได้น้อย จึงต้องการคนที่สื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ดี จึงทำให้มีค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ปัจจุบันมีผู้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการกว่า 130 ล้านคนทั่วโลก แม้จะเป็นภาษาที่สำคัญในด้านธุรกิจและเศรษฐกิจระหว่างประเทศมาก แต่ภาษาญี่ปุ่นก็เป็นภาษาที่ค่อนข้างยากถึงขั้นต้องเรียกว่าพิสดารเลยทีเดียว เพราะมีไวยากรณ์ที่ซับซ้อน มีความละเอียดอ่อนมาก เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ และสถานะของบุคคลอีกด้วย
      
4. ภาษาโปรตุเกส (Portuguese/ Português)
       
       "สวัสดี" ในภาษาโปรตุเกสพูดว่า “Olá” (โอ-ล๊ะ)
       
        แม้ว่าความต้องการของภาษาโปรตุเกสจะไม่ฮอตเท่ากับภาษาสเปน แต่ภาษาโปรตุเกสก็เป็นภาษาราชการในหลายประเทศทั่วโลก อาทิเช่น ประเทศโปรตุเกส บราซิล แองโกลา โมซัมบิก และประเทศติมอร์-เลสเต เป็นต้น รวมแล้วมีคนพูดภาษาโปรตุเกสได้กว่า 200 ล้านคนทั่วโลก จัดอยู่ในอันดับที่ 6 ภาษาที่มีคนพูดได้มากที่สุดในโลก หากพิจารณาในด้านของเศรษฐกิจแล้วจะเห็นได้ว่าประเทศส่วนใหญ่ที่ใช้ภาษาโปรตุเกสจะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ในแถบทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศบราซิลที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรจำนวนมาก กำลังต้องการที่จะขยายเศรษฐกิจออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่ยังขาดแคลนคนที่สามารถพูดและใช้ภาษาโปรตุเกสได้เป็นอย่างดี ถือเป็นข้อได้เปรียบและมีประโยชน์มากเพราะคนที่มีความรู้ด้านภาษาโปรตุเกสนี้มีน้อย แต่การเรียนรู้ภาษาโปรตุเกสต้องบอกเลยว่ายากกว่าภาษาสเปน แต่ก็ไม่ยากเท่ากับภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส

 5. ภาษาเยอรมัน (German/ Deutsch)

        
       "สวัสดี" ในภาษาเยอรมันพูดว่า “Hallo” (ฮา-โล)
       
        แม้ภาษาเยอรมันจะไม่ได้เป็นหนึ่งในภาษาของสหประชาชาติ แต่ก็เป็นภาษาราชการของประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจของยุโรปหลายประเทศ นอกจากประเทศเยอรมนีที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการแล้ว ยังมีประเทศใกล้เคียงที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาพูดอีกด้วย เช่น ออสเตรีย, เบลเยียม, เดนมาร์ก, ฮอลแลนด์, ลิกเตนสไตน์, ลักเซมเบิร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ รวมแล้วประมาณ 100 ล้านคน จึงทำให้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในยุโรปอีกด้วย อย่างประเทศเยอรมนีที่มีความแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในสหภาพยุโรป ความสามารถในการพูดภาษาเยอรมันจึงมีประโยชน์และสำคัญมากในด้านการทำธุรกิจระหว่างประเทศกับประเทศในแถบยุโรป หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็มีบริษัทมากมายที่มาจากประเทศเยอรมัน จึงเป็นที่คาดการณ์ว่าผู้ที่สามารถสื่อสารภาษาเยอรมันได้จะทำให้มีอัตราค่าจ้างสูงขึ้นประมาณ 4% และยังเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้เพราะมีลักษณะคล้ายภาษาอังกฤษ แต่จะยากในส่วนของไวยากรณ์
      
6. ภาษาอาหรับ (Arabic /العربيةالعربية)
       
       "สวัสดี" ในภาษาอาหรับพูดว่า "Al salaam a’alaykum" (อัสสะลามมุอะลัยกุม)
       
       ภาษาอาหรับ หรือ ภาษาอารบิค หนึ่งในภาษาของสหประชาชาติ และเป็นภาษาราชการของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น อิรัก, คูเวต, จอร์แดน, อิสราเอล, แอลจีเรีย, บาห์เรน, ปาเลสไตน์, ซาอุดีอาระเบีย และอื่นๆ อีกมากมาย จะเห็นได้ว่าภาษาอารบิคเป็นภาษาของศาสนาอิสลามที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด และมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวมากขึ้นทุกปี โดยสถิติล่าสุดในปี 2014 มีผู้พูดภาษาอารบิคได้ทั้งหมด 246 ล้านคนจากทั่วโลก มากเป็นอันดับที่ 6 และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาษาอารบิคเป็นอีกหนึ่งภาษาที่น่าสนใจนั่นก็คือ กลุ่มประเทศในตะวันออกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศผู้มีอิทธิพลในเศรษฐกิจน้ำมันโลก ทำให้ในอนาคตข้างหน้าภาษาอารบิคจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเรียนภาษาอาหรับต้องบอกเลยว่า เป็นภาษาที่มีระดับความยากอยู่ที่อันสามรองจากภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่นเลยทีเดียว เนื่องจากว่ามีระบบการเขียนที่ยาก และหลักไวยากรณ์ที่ซับซ้อนนั่นเอง
       
7. ภาษาฝรั่งเศส (French/ Français)
       
       "สวัสดี" ในภาษาฝรั่งเศสพูดว่า “Bonjour” (บงชูร์)
       
       ภาษาฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็นภาษาที่โรแมนติกและไพเราะมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นภาษาที่มีประวัติศาสตร์โดดเด่นมากในยุโรปก่อนที่ภาษาอังกฤษจะเกิดขึ้นเสียอีก และยังคงเป็นภาษาที่มีบทบาทมาจนถึงปัจจุบันถือเป็น 1 ใน 5 ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ (UN) เนื่องจากที่ฝรั่งเศสเคยเป็นประเทศอาณานิคมของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นอีกหนึ่งภาษาที่มีการใช้อย่างแพร่หลายสูงถึง 129 ล้านคนทั่วโลก (Top Ten Most Spoken Languages In The World In 2014) กว่า 40 ประเทศ และยังเป็น 1 ใน 10 ของภาษาที่พบมากที่สุดในอินเตอร์เน็ต ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้เพราะคล้ายกับภาษาอังกฤษมาก ยกตัวอย่างในประเทศแคนาดามีผู้ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก เพราะตำแหน่งงานส่วนใหญ่จะต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร จนถึงขั้นมีการคิดประเมินค่าจ้างไว้ว่าคนที่สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้จะมีค่าจ้างเพิ่งขึ้นถึง 2.7% เลยทีเดียว

       

8. ภาษารัสเซีย (Russian/ русский язык)
        
       "สวัสดี" ในภาษารัสเซียพูดว่า “Zdravstvuite” (สดร๊าสต-วุย-ถิ)
       
        ภาษารัสเซียเป็น 1 ใน 5 ของภาษาที่แพร่หลายมากที่สุดในโลก หนึ่งในลิสต์ภาษาที่เราต้องเรียนรู้เพราะเป็นทั้งภาษาสากล และภาษาทางการของสหประชาชาติ ทั่วโลกมีคนที่ใช้ภาษารัสเซียกว่า 277 ล้านคน จากผลสำรวจในปี 2014 ประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ภาษารัสเซียจึงมีความโดดเด่นมากสำหรับผู้ที่จะทำธุรกิจระหว่างประเทศ เพราะชาวรัสเซียส่วนใหญ่มีความเป็นชาตินิยม และอนุรักษ์นิยมค่อนข้างสูง ชาวรัสเซียโดยทั่วไปสื่อสารด้วยภาษาถิ่นของตนเอง และมีความรู้ภาษาอังกฤษไม่มาก เพื่อที่จะสามารถติดต่อทำธุรกิจกับประเทศรัสเซีย และประเทศอื่นๆ ที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการ จึงมีความต้องการล่ามหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษารัสเซียเป็นพิเศษ ทำให้มีผลต่ออัตราเงินเดือนที่จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 4% ต่อปี เมื่อพูดถึงในด้านของการเรียนรู้ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ค่อนข้างยากภาษาหนึ่ง เนื่องจากมีไวยากรณ์ที่ซับซ้อน คนไทยอาจมีปัญหาในเรื่องของการออกเสียงเนื่องจากค่อนข้างยากเช่นเดียวกัน แต่ก็เรียกได้ว่าภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ง่ายที่สุดในกลุ่มของ “ภาษายาก” นั่นเอง
       
9. ภาษาเกาหลี (Korean/ 한국어)
       
       "สวัสดี" ในภาษาเกาหลีพูดว่า “안녕하세요.” (อัน-นยอง-ฮา-เซ-โย)
       
        เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความมหัศจรรย์ทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเป็นหนึ่งประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในเชิงพาณิชย์สำรับอนาคตข้างหน้า โดยจะเห็นได้ว่าในประเทศไทยมีบริษัทที่มาลงทุนจากประเทศเกาหลีเป็นจำนวนมาก และโดยพื้นฐานแล้วคนเกาหลีส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษเท่าใดนัก จึงมีความต้องการคนที่สามารถพูดและสื่อสารภาษาเกาหลีได้ค่อนข้างสูง เพื่อมาทำงานในบริษัท หรือติดต่อด้านธุรกิจกับประเทศเกาหลีนั่นเอง ในสมัยก่อนคนไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาษาเกาหลีมากนัก ทั้งที่จริงแล้วประเทศไทยกับเกาหลีมีความสัมพันธ์กันหลายด้านอย่างเช่น การค้า เศรษฐกิจ ความมั่นคงทางศาสนา และการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันวัฒนธรรมเกาหลีก็ได้เข้ามามีบทบาทกับประเทศไทยมากขึ้นในเรื่องของแฟชั่น ภาพยนตร์ และดนตรี ทำให้มีสถานศึกษาและโรงเรียนกวดวิชาบางแห่งเปิดสอนภาษาเกาหลีขึ้นอย่างมากมาย หากใครจะเลือกภาษาเกาหลีมาเป็นภาษาที่ 3 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
      
10. ภาษาฮินดี (Hindi / हिन्दी, हिंदी)
       
       "สวัสดี" ในภาษาฮินดีพูดว่า “Namaste / Namaskar” (นมัสเต / นมัสการ)
       
        ภาษาอันดับที่ 4 ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก "ภาษาฮินดี" เป็นภาษาราชการของสาธารณรัฐอินเดีย และเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันทั่วไปของประเทศในแถบเอเชียใต้ เช่น ปากีสถาน เนปาล บังคลาเทศ ภูฏาน เป็นต้น โดยเฉพาะประเทศอินเดียที่ในปัจจุบันมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง และยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอยู่ในอันดับ 2 รองจากประเทศจีน ทำให้ภาษาฮินดีมีผู้ใช้ทั้งหมด 497 ล้านคน มีความสำคัญต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น อินเดียก็อยู่ในกลุ่มประเทศ AEC+6 ด้วย ในประเทศไทยมีสมาคมนักธุรกิจชาวอินเดียและชุมชนชาวอินเดียอยู่หลายกลุ่ม ซึ่งเกือบทั้งหมดยังนิยมใช้ภาษาฮินดีเป็นภาษากลางในการสื่อสารกัน แต่ภาษาฮินดีก็ไม่ได้เป็นภาษาสากลในประเทศอินเดียซะทีเดียว เพราะคนที่พูดฮินดีส่วนใหญ่ก็จะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีด้วยเช่นเดียวกัน
       
      
       รวบรวมข้อมูลและอ้างอิงจาก :
       http://dailynewsdig.com/top-ten-spoken-languages-world-2014/
       http://akarlin.com/2011/05/top-10-most-useful-languages/
       https://lingos.co/blog/best-languages-to-learn-in-the-world/
       http://www.manager.co.th
      

Monday, October 19, 2015

จุดเน้นในการเตรียมสอบ PAT1


          การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในหลายๆคณะนั้นวิชา PAT1 ก็เป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญเพราะคะแนน PAT1 นั้นจำเป็นต้องใช้ในการยื่นเพื่อเข้าในหลายๆคณะแทบทุกมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว การเตรียมตัวสอบ PAT1 ของน้องๆแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนอาจเลือกที่จะไป ติวPAT1 ตามสถาบันต่างๆ หรือบางคนอาจเลือกที่จะอ่านหนังสือเองอยู่บ้าน ซึ่งก็แล้วแต่ความถนัดของน้องๆ สำหรับวันนี้พี่ๆติวเตอร์จาก Top-A tutor ก็มีวิธีการ เตรียมตัวสอบ PAT1 มาฝากน้องๆทุกคน ซึ่งพี่เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆแน่นอน
1. ข้อสอบ PAT1 ยากประมาณไหน?
          จะเตรียมตัวสอบได้อย่างถูกต้องก็จำเป็นต้องรู้ว่า ข้อสอบนั้นยากประมาณไหนใช่ไหมละครับ ไม่เช่นนั้นจะไปเตรียมตัวกันถูกได้อย่างไร คำตอบก็คือ ความยากของข้อสอบ PAT1 นั้นอยู่ในระดับที่ถือว่ายากที่สุดในบรรดาการสอบแอดมิชชั่นวิชาคณิตศาสตร์เลยละ โดยข้อสอบ PAT1 นั้นยากกว่าข้อสอบ O-NET และยากกว่า 7 วิชาสามัญด้วยครับ ดังนั้นถ้าอยากได้คะแนน PAT1 สูงๆ เห็นทีจะต้องทุ่มเทให้มากหน่อยนะครับ
2. เรื่องที่ออกเยอะ
          แน่นอนว่าถ้าหากว่าน้องๆมีเวลาในการเตรียมตัวเหลือเฟือ การอ่านเนื้อหาทุกๆบทอย่างเข้มข้นย่อมดีกว่าการเก็งเฉพาะบทอยู่แล้ว แต่สำหรับหลายๆคนที่อ่านไม่ทัน ไม่พร้อมสอบ ขอให้น้องๆให้ความสำคัญกับหัวข้อเรื่องเหล่านี้ครับ เพราะเป็นหัวข้อที่ออกข้อสอบเยอะ และเก็บคะแนนได้ไม่ยากเลยละ ได้แก่ สถิติ ลำดับและอนุกรม ตรีโกณมิติ แคลคูลัส และความน่าจะเป็น 5 บทนี้ออกข้อสอบเยอะที่สุดในปีที่ผ่านๆมา ดังนั้นขอให้น้องโฟกัสในบทเหล่านี้ก็จะช่วยให้สามารถทำคะแนน PAT1 ได้สูงขึ้นอย่างแน่นอน
3. บทที่ต้องระวัง!!
          ถ้าพูดถึงหัวข้อที่ออกข้อสอบมาแล้วทำให้นักเรียนงงได้มากที่สุดหัวข้อหนึ่งคือ "ความน่าจะเป็น" แม้ว่าในบางครั้งโจทย์ก็ดูเหมือนจะง่ายแสนง่าย แต่หลายๆครั้งเมื่อคิดเร็วมากๆก็จะทำให้คำนวนพลาด และได้คำตอบที่ไม่ถูกต้องได้บ่อยเลยละ ดังนั้นการทำโจทย์เรื่องนี้ พี่แนะนำให้น้องๆคิดให้ละเอียดรอบคอบ เพราะโจทย์ที่ดูง่ายๆ อาจจะมีหลุมพลางอยู่เยอะมากจนเราคิดไม่ถึงเลยละครับ
4. อย่าลืมจับเวลา
          ในขั้นตอนการเตรียมตัวสอบ PAT1 ไม่ว่าน้องจะไป ติวPAT1 ที่ไหนมาก็ลืมกลับมาลองฝึกจับเวลาในการทำโจทย์เองที่บ้านด้วยละครับ เพราะในปีหลังๆจำนวนข้อสอบเมื่อเทียบสัดส่วนกับเวลาที่ให้มาแล้วนั้นค่อนข้างทีจะเป็น Speed Test อย่างมากเลยละ ดังนั้นถ้าไม่เคยลองฝึกจับเวลาในการทำข้อสอบแล้วละก็ อาจจะทำให้น้องๆทำข้อสอบในสนามสอบจริงไม่ทันได้นะครับ
5. หมั่นทำโจทย์เยอะๆๆ
          น้องๆหลายคนเลือกที่จะไป ติวPAT1 ตามที่ต่างๆมากมาย บางคนติวเกือบทั้งวัน แต่ไม่ได้กลับมาลองฝึกทำโจทย์เองเลย นั่นเป็นการเตรียมสอบที่ไม่ดีเท่าไหร่เลยละ เพราะวิชาคณิตศาสตร์นั้นเป็นวิชาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนทำโจทย์ให้เยอะๆ เพื่อให้เห็นรูปแบบโจทย์ที่หลากหลาย เมื่อต้องทำโจทย์ในห้องสอบก็จะสามารถคิดได้เร็วขึ้น ดังนั้นใครที่เลือกที่จะไป ติวPAT1 เกือบทั้งวัน เมื่อกลับถึงบ้านก็อย่าลืมแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไว้ฝึกทำโจทย์ด้วยตนเองด้วยนะครับ
cr.http://www.top-atutor.com/15104756/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-pat1

Thursday, October 8, 2015

การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส

การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง
       การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน (suffrage universel direct) มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีนี้ใช้ระบบเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด (คือได้คะแนนเสียงข้างมากเกินกว่า 50%)  แบ่งเป็นสองรอบ หากการเลือกตั้งรอบแรกไม่มีผู้ใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ก็นำผู้สมัครที่ได้ลำดับ 1 และ 2 มาเลือกตั้งในรอบที่สอง  รูปแบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีนี้ เป็นลักษณะเฉพาะของสาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศส  อย่างไรก็ดี วิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดีดังกล่าวมิได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันตั้งแต่ปีที่บังคับใช้ คือปี ค.ศ. 1958 (ซึ่งเดิมใช้ระบบการเลือกตั้งทางอ้อม) หากแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงนี้ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1962 โดยผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติของประชาชนในการเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง  
       
  คุณสมบัติและเงื่อนไขของการสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
         ผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้ ต้องมีสัญชาติฝรั่งเศส ต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี ขึ้นไป (การกำหนดอายุ 18 ปี ขึ้นไปนี้ เพิ่งได้รับการแก้ไขจากเดิมต้องมีอายุ 23 ปีขึ้นไป ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 14 เมษายน 2011 ที่ผ่านมา)  และเงื่อนไขที่สำคัญเพื่อป้องกันมิให้มีผู้สมัครรับเลือกตั้งมากจนเกินไป หรือใช้โอกาสการเลือกตั้งนี้เพื่อโปโมทตัวเองให้เป็นที่รู้จัก กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับการลงชื่อสนุบสนุนอย่างเป็นทางการจากนักการเมืองของฝรั่งเศส (ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน élu) ทั้งในระดับชาติ ระดับท้องถิ่น และระดับสหภาพยุโรป ไม่น้อยกว่า 500 คนขึ้นไป จาก 30 จังหวัดเป็นอย่างน้อย เพื่อให้เป็นผู้สมัครที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มิใช่เพียงแต่ภาคใดภาคหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการลงชื่อเป็นผู้สนับสนุนหรือเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งนี้ เป็นการลงชื่อจากนักการเมืองโดยอิสระ และไม่มีผลผูกผันใดๆกับผู้ลงชื่อสนับสนุนแต่อย่างใด  ผู้เขียนเคยได้ทราบมาว่า มีนายกเทศมนตรี หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหลายต่อหลายคนที่ลงชื่อสมับสนุนผู้สมับรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้เสียงข้างน้อย หรือบุคคลที่มาจากหลายๆได้มีโอกาสเข้ามาสมัครเลือกตั้งได้บ้าง เพื่อให้เกิดความหลากหลายและเคารพเสียงข้างน้อยตามระบอบประชาธิปไตย
    การส่งรายชื่อผู้สับสนุนจะต้องส่งให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและผู้สนับสนุนในรัฐกิจจานุเบกษา ซึ่งได้มีการประกาศเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา  จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งกำหนดให้วันหาเสียงเลือกตั้งวันสุดท้ายคือวันเสาร์ที่ 21 เมษายน เพื่อจะให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในรอบแรกวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา ผลปรากฎว่า ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง ดังนั้น จำเป็นต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในรอบสองขึ้น ระหว่างผู้ที่คะแนนอันดับที่ 1 และ 2  ซึ่งก็คือ นาย François Hollande ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งคือ 28,6 % และอันดับสอง เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือนาย Nicolas Sarkozy ได้คะแนน 27,3 % คงต้องติดตามกันต่อไปสำหรับการเลือกตั้งในรอบที่สอง ที่จะจัดให้มีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคมนี้