Thursday, May 1, 2014

10 อันดับ ประเทศที่ วัยรุ่น อยากไปเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยน มากที่สุด

อันดับ 10?ประเทศอาร์เจนตินา
เป็นประเทศที่เรียกได้ว่ามาแรงใช่ย่อย ถึงจะอยู่ไกลสุดโพ้นถึงทวีปอเมริกาใต้ แต่เด็กไทยหลายคนก็ยังยืนเป็นเสียงเดียวกันว่า “หนู/ผมอยากไปอาร์เจนตินาค่ะ !” ซึ่ง สาเหตุหลักๆ ก็เพราะว่าประเทศนี้เค้าพูดภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ ดังนั้นเพื่อนๆหลายคนที่ชื่นชอบภาษาสเปนหรือพอพูดสเปนได้ ก็เลยอยากจะลองไปแลกเปลี่ยนที่นี่ ก็แอบสงสัยอยู่ว่า อ้าว แล้วทำไมไม่ไปสเปนกันเลยล่ะคะ ? ซึ่งน้องๆ ก็ตอบมาได้อย่างน่าสนใจมากว่า สเปนอยู่ยุโรปนี่เอง จะไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ไปได้ แต่โอกาสไปเที่ยวอาร์เจนตินานี่ค่อนข้างยากมาก ดังนั้นนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ไปอาร์เจนตินาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน (จริงด้วยแฮะ)
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 9 ?ประเทศจีน
ดินแดนมังกรยอดฮิตที่หลายคนฝันใฝ่อยากไป โดยเฉพาะเพื่อนๆ?ที่มีเชื้อสายจีน เพราะอาม่า อากง อาอึ้มที่บ้านต่างก็สนับสนุนให้ไปจีนกันอยู่แล้ว สาเหตุหลักๆ ก็ไม่พ้นภาษาจีนที่เป็นภาษาที่สำคัญมากๆ ภาษาหนึ่งของโลก ขอบอกเลยว่าปัจจุบันคนรู้ภาษาจีนเยอะมากๆ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ไปอยู่ในประเทศจีนที่ใช้ภาษาจีน เพื่อฝึกทักษะภาษาจีนของเราให้ยิ่งเก่งกว่าคนทั่วไป รวมถึงประเทศจีนก็ยังอยู่ไม่ไกลจากเมืองไทยมาก นั่งเครื่องบิน 5-6 ชั่วโมงก็ได้กลับมาเจอหน้าคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านแล้ว แถมที่จีนเนี่ย ยังมีนักเรียนไทยไปเรียนกันเยอะมากๆ ดังนั้นขอบอกเลยว่าไม่เหงาแน่นอน คนไทยเดินสวนกันเต็มเมืองค่ะ (ถ้าไม่ได้ไปอยู่เมืองแปลกๆ อะเนอะ)
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 8 ?โปรตุเกส
โอ้โห ประเทศนี้ติดโพลมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่ได้หมายถึงโปรตุเกสไม่ดีหรืออะไรยังไงนะคะ แต่เพราะเพื่อนๆ?บางคนอาจจะยังไม่คุ้นชื่อหรือรู้จักโปรตุเกสกันมากนัก แต่ขอบอกว่าเลยว่าประเทศโปรตุเกสเนี่ยเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ใครชอบความสงบและธรรมชาติริมทะเลแบบชิลๆ ห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาดค่ะ ส่วนสาเหตุสำคัญที่โปรตุเกสกลายเป็นอีกประเทศยอดฮิตที่น้องๆ อยากไปแลกเปลี่ยนกันก็เพราะว่า เกิดจากการบอกเล่ากันปากต่อปากจากรุ่นพี่ที่เคยไปโปรตุเกสต่อกันมาเป็นทอดๆ ว่าที่นี่ดีมาก สงบ น่าอยู่ ดังนั้นรุ่นน้องรุ่นหลังๆ ก็เลยอยากจะไปแลกเปลี่ยนที่นี่บ้างนั่นเอง
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 7 ?บราซิล
ประเทศนี้เค้าเตะฟุตบอลเก่งกันระดับโลกเลยล่ะค่ะ เพราะเราๆ ส่วนมากก็รู้จักแซมบ้าบราซิลกันจากฟุตบอลใช่มั้ยคะ ? 5555 และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ เทศกาล Carnival ของบราซิลที่เป็นเทศกาลที่ดังไปทั่วโลกและใครๆ ก็อยากจะสัมผัสด้วยตัวเอง อัน ที่จริงเทศกาล Carnival เนี่ย ที่ไหนๆ ก็มีค่ะ แต่เค้าก็ว่ากันว่าไม่มีที่ไหนจะยิ่งใหญ่และสนุกกว่าบราซิลแล้วล่ะ ดังนั้นใครชอบความคึกคักเฮฮาปาจิโกะ ขอแนะนำให้เลือกบราซิลกันโลดดดด ! อ้อ แล้วอีกอย่าง ที่บราซิลเค้าพูดภาษาโปรตุเกสกันนะคะ ไม่ใช่ภาษาเม็กซิกันหรือภาษาสเปน ไม่ใช่นะไม่ใช่
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 6?เดนมาร์ค
ฮิตกันแบบเบาๆ แต่ก็ฮิตอย่างยาวนาน โดยเฉพาะเพื่อนๆ ที่ฝันอยากไปยุโรปเหนือแถบสแกนดิเนเวียที่ได้ชื่อว่าเป็นแถบที่น่าอยู่ที่ สุดและปลอดภัยที่สุดในโลก (และค่าครองชีพก็แพงปลิดชีพที่สุดด้วย) ซึ่งขอบอกเลยว่าเดนมาร์คเนี่ยเป็นอะไรที่น่าอยู่มากจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะใครที่โชคดีได้ไปอยู่ที่เมืองหลวง(กรุงโคเปนฮาเกน) เพราะที่นี่มีถนนสายช้อปปิ้งที่ยาวที่สุดในโลก ! ใครที่ชอบช้อปปิ้งในบรรยากาศชิคๆ แต่ไม่วุ่นวายเท่าปารีสหรือโรม ขอแนะนำประเทศเดนมาร์คเลยค่ะ หรือใครเกิดซ่าๆ หน่อย ก็ลองนั่งรถไฟจากเดนมาร์คไปเดินเล่นแบบไปเช้าเย็นกลับที่สวีเดนยังได้เลยค่ะ ใกล้กันนิดเดียว เก๋ๆ ปะล่ะ
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 5 ?เบลเยี่ยม
ถ้าพูดถึงดินแดนช็อกโกแลต เพื่อนๆคงจะนึกถึงสวิตเซอร์แลนด์ใช่มั้ยคะ ? แต่ความจริงแล้ว เค้าว่ากันว่า ช็อกโกแลตที่อร่อยที่สุดในโลกจริงๆ อยู่ที่ประเทศเบลเยี่ยมนี่แหละค่ะ นอกจากนั้นก็ยังมีวอฟเฟิลชื่อดังที่ใครได้ชิมก็ต้องติดใจทุกราย ดังนั้นใครชื่นชอบขนมหวานและไม่กลัวอ้วน เบลเยี่ยมรอคุณอยู่แน่นอนค่ะ และนอกจากนี้ ถึงแม้เบลเยี่ยมจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่คนที่นี่เค้าก็พูดกันถึง 3 ภาษาเลยค่ะ เมืองไหนอยู่ใกล้ฝรั่งเศสก็พูดฝรั่งเศส เมืองไหนอยู่ใกล้เยอรมันก็พูดเยอรมัน และเมืองไหนอยู่ใกล้เนเธอร์แลนด์ก็พูดดัตช์กัน ดังนั้นใครอยากรู้หลายๆ ภาษาให้งงเล่นๆ Let’s go to Belgium กันด่วน
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 4 ?ญี่ปุ่น
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมดินแดนซูโม่แห่งนี้ถึงเข้ามาติดชาร์ท อันดับ 4 ที่เพื่อนๆ อยากไปแลกเปลี่ยนกันได้มากที่สุด เพราะที่นี่มีทุกอย่างค่ะ ! ไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่นสุดอร่อย หรือจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย หรือจะเป็นแหล่งช้อปปิ้ง โอ๊ยยย ช้อปได้ทั้งวันเถอะ แถมยังมีดาราญี่ปุ่นจอห์นนี่จูเนียร์ คาเมะ ทาเคชิอีกต่างๆ นานาที่ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ตั้งอกตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ปัจจุบัน กำลังเป็นอีกภาษาชั้นนำของโลกไม่แพ้ภาษาจีน แถมยังมีเทคโนโลยีสุดทันสมัยอัปเดทก่อนใครในโลก ชุดนักเรียนก็น่ารักคิกขุอีกต่างหาก โอ้โห ไม่ว่าจะไปเรียนหรือไปเที่ยว ขอบอกว่ามันเริดที่สุดเลยค่ะญี่ปุ่นเนี่ย
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 3 ?เยอรมัน
อีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่มักจะมีโควต้ารับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากไทยเยอะกว่าประเทศอื่น จึงทำให้ใครๆ ต่างก็แห่มาเลือกเยอรมันกัน และแน่นอนว่าเพื่อนๆ ส่วนมากที่เลือกไปเยอรมันกันก็มักจะเป็นเด็กศิลป์-เยอรมัน ที่ร่ำเรียนเยอรมันกันมาเป็นปีๆ และอยากจะลองไปเจอของจริงกันที่ดินแดนเบียร์แห่งนี้ ขอบอกว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ เพราะจากเหนือจรดใต้ของเยอรมันนั้น เด็ดทุกที่ !! ไล่ลงมาเลยตั้งแต่แฮมเบิร์ก เบอร์ลิน ฮันโนเวอร์ ดุสเซลดอฟ โคโลญจน์ แฟรงเฟิร์ต สตุ๊ทการ์ท มิวนิค เที่ยวเป็นปียังเที่ยวไม่ครบเลยล่ะ และที่เด็ดกว่านั้นคือ ประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่ฮวงจุ้ยดีมาก เพราะทิศตะวันตกติดเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส ทิศเหนือติดเดนมาร์ค ทิศตะวันออกติดโปแลนด์ เชค ออสเตรีย ทิศใต้ติดสวิตเซอร์แลนด์ โอ้โห สุดสัปดาห์อยากไปเที่ยวไหน กดปุ่มเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยน
อันดับ 2?อิตาลี
ไม่ต้องแปลกใจอะไรกันเลยว่าทำไมใครๆ ถึงอยากไปอิตาลี เพราะประเทศนี้เค้าครบเหมือนกันค่ะ ! อาหารก็อร่อย ภาษาอิตาเลียนก็เพราะ สถาปัตยกรรมก็ยิ่งใหญ่และสวย(มาก) แหล่งช้อปปิ้งก็ดังระดับโลก และผู้ชายก็หล่อด้วย (เอ่อ… เกี่ยวมั้ย -*-) เที่ยวเป็นปีก็เที่ยวไม่ครบเหมือนเยอรมันนี่แหละค่ะ เริ่มจากเหนือจรดใต้ด้วยการไปช้อปปิ้งเชิดๆ ที่มิลาน จากนั้นก็ไปล่องเรือกอนโดล่าที่เวนิซ ก่อนไปเดินชิลๆ ชมบ้านเมืองสวยๆ ที่ฟลอเรนซ์ แว้บไปถ่ายรูปกับหอเอนปิซ่าที่เมืองปิซ่า นั่งรถไฟต่อไปดูน้ำพุเทรวี่ที่กรุงโรม ปิดท้ายด้วยไปนั่งชิลริมทะเลที่เมืองเนเปิลส์ โอ้โห น่าอิจฉาไปมั้ยคะเนี่ย ?
10 อันดับ ประเทศ สุดฮิต ของ นักเรียนแลกเปลี่ยนอันดับ 1 ?สหรัฐอเมริกา
ประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง! ดินแดนแห่งเสรีภาพที่ใครๆ ก็อยากไปเยือนมากถึงมากที่สุด เพราะมีโควต้ารับเด็กไทยปีละป็นร้อยๆ คน จึงทำให้เพื่อนๆ ต้องสอบแข่งขันแย่งชิงกันสุดฤทธิ์สุดเดชเพื่อให้ได้ไปที่นี่ ซึ่งถ้าหากพูดถึงอเมริกา ทุกคน หลายคนคงจะนึกถึงแต่แสงสีเสียงในนิวยอร์ก หรือฮอลลีวู้ดสุดไฮโซที่ลอสแองเจอลิส แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่า ที่คิดเอาไว้กับที่ไปเจอจริงๆ มักสวนทางกัน เพราะบางคนถูกส่งไปอยู่นอกเมือง ไม่มีห้าง ไม่มีซุปเปอร์มารเก็ต ไม่มีรถบัส จะเข้าเมืองทีต้องโบกรถข้างทางแล้วต่อสองแถว (มีสองแถวมั้ย?) ลำบ๊ากลำบาก ลำบากกว่าตอนอยู่ไทยอีก จากที่คิดไว้ว่าจะเที่ยวห้างทุกเสาร์อาทิตย์ แต่กลับต้องนั่งเลี้ยงวัวในฟาร์มของโฮสท์แฟมิลี่ แต่ทั้งหมดมันคือประสบการณ์ที่จะหล่อหลอมให้เราเข้มแข็งขึ้นนั่นเองค่ะ :)
เพื่อนๆคนไหนที่ได้ไปเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยน เรียนต่อต่างประเทศ แล้วละก็มาบอก teen.mthai กันบ้างนะคะ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง? อย่างน้อยเมื่อเราได้โอกาสไปเรียนแล้ว ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ และ ความรู้ ไว้ให้มากที่สุดนะคะ ^^
ที่มา : toptenthailand

Tuesday, April 29, 2014

10 อันดับเหตุการณ์เรืออัปปางที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์

10. S.S. Republic

เรือ S.S. Republic เป็นเรือโดยสาร ของเมือง นิวออร์ลีนส์ ในเที่ยวเรือสุดท้ายของเรือลำนี้ เรือลำนี้ได้ขนส่งเหรียญจำนวนมาก (คาดการณ์ว่าประมาณ $400,000 ) อันเป็นที่มาของชื่อเสียงของเรือลำนี้ เรือลำนี้อับปางลง ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1865 (พ.ศ. 2408) เนื่องจากโดยพายุเฮอริเคนถล่ม นอกชายฝั่งของจอร์เจีย และเรือมีความแข็งแกร่งน้อยเกินไปกว่าที่จะรับพายุเฮอริเคนได้ และก็อับปางลงในที่สุด พร้อมชีวิตของผู้โดยสารกับลูกเรือแทบทั้งหมด และเหรียญที่บรรทุกมา โดยภายหลังที่มีการพบซากเรือในปี 2003 (พ.ศ. 2546) ที่แทมปา ในรัฐฟลอริดา โดยมีการค้นพบเหรียญจำนวนมากที่หายไป รวมมูลค่าในปัจจุบันได้ถึง 75 ล้านเหรียญ ดอลล่าร์ โดยเหรียญทั้งหมดได้นำขึ้นจากท้องทะเล และนำไปเก็บไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วอเมริกา

9. S.S. Edmund Fitzgerald

เรือ S.S. Edmund Fitzgerald เป็นเรือบรรทุกสินค้าของบริษัท Northwestern Mutual Life Insurance Company เป็นเรือบรรทุกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ เรือลำนี้อับปางลง ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) เนื่องจากสภาพอากาศอันเลวร้าย และพายุ โดยเที่ยวเรือสุดท้ายของเรือลำนี้ เป็นเที่ยวการขนส่งสินค้า ใน Zug Island ใกล้กับ Detroit, Michigan โดยระหว่างการเดินเรือ มีการพยากรณ์อากาศว่า จะเกิดพายุในเส้นทางขนส่ง และมีคำแนะนำว่า ควรเลี่ยงเส้นทางที่มีพายุ และใช้ทางอ้อม หรือหยุดเที่ยวขนส่งนี้ไปก่อน และลูกเรือทั้งหมดเห็นด้วย ยกเว้นกัปตันที่ไม่ต้องการให้เสียเที่ยวขนส่ง จึงสั่งให้ใช้เส้นทางเดิม และสภาพอากาศก็เลวร้าย ตามคำพยากรณ์อากาศจริงๆ

ในเวลา 2:00 am เรือได้รายงานไปยังภาคพื้นดินว่าเรือกำลังฟันฝ่าพายุอันร้ายแรงและเกินกว่า ที่เรือจะรองรับได้ และในเวลา 5:00 - 5:30 am เรือก็ได้ขาดการติดต่อจากวิทยุภาคพื้นดิน และไม่สามารถติดต่อสื่อสารใดๆได้เลย ต่อมาเวลา 7:30 am ได้มีการรายงานข่าวว่าหลังเรือขาดการติดต่อได้ไม่นาน เรือน่าจะอับปางลงกลางพายุแล้ว ถึงแม้จะมีการออกค้นหาแต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่ซาก ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าเรือได้อับปางลงแล้ว จนกระทั่งวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1975 (ปีเดียวกันกับที่เรืออับปาง) ได้มีการค้นพบซากเรือ ในใต้ทะเล ในบริเวณเดียวกันกับที่เรืออัปปาง

ซึ่งหลังจากเรืออับปางไปไม่นานก็ได้มีซิงเกิลสุดฮิตในช่วงนั้นชื่อว่า "The Wreck of the Edmund Fitzgerald" ขับร้องโดย Gordon Lightfoot และก็เป็นเพลงที่ชื่อเสียงและรู้จักจนถึงปัจจุบัน

8. U.S.S. Monitor

เรือ U.S.S. Monitor เป็นเรือรบเหล็กของอเมริกา เป็นเรือรบเหล็กลำแรกของโลก ซึ่งได้ใช้งานในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา เรือลำนี้มีชื่อเสียงมาจาก การปะทะกันที่ Hampton Roads เรือลำนี้อับปางลงในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1862 (พ.ศ. 2406) การเดินเรือลำนี้เป็นครั้งสุดท้ายคือการไปประจำการที่ Charleston โดยออกเดินทางไปในวันที่ 24 ธันวาคม และหยุดเรือฉลองวันคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคม เนื่องจากสภาพอากาศอันเลวร้าย ทำให้เรือออกเดินทางไปอย่างล่าช้า

วันที่ 31 ธันวาคม ได้เกิดพายุรุนแรงและคลื่นถล่มเรือลำนี้จนเกินกว่าที่เรือจะรองรับได้ ลูกเรือและวิศวกรได้คาดการณ์ว่าเรือลำนี้อาจจะอับปางในเร็วๆนี้ เรือได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ มีเรือหลายลำได้เห็นสัญญาณ แต่ไม่สามารถมาช่วยเหลือได้ เพราะสภาพอากาศและคลื่นในทะเล และเรือก็ได้อับปางลงในเวลาไม่นาน โดยลูกเรือจำนวนมากได้สละเรือ ยกเว้นลูกเรือบางส่วนที่ไม่ยอมสละเรือและจบชีวิตไปพร้อมกับเรือลำนั้น

หลังจากเหตุการณ์อับปาง ได้มีการตรวจสอบว่าทำไมเรือถึงทรุดตัว ในกองทัพบกและกองทัพเรือ มีการกล่าวหาลูกเรือที่ทำหน้าที่ป้องกันเรือว่าตั้งใจปล่อยให้เรืออับปาง ต่อมาในปี 1995 (พ.ศ. 2538) ได้มีการค้นพบซากเรือพร้อมกับพบอาวุธสงครามในช่วงนั้นซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 20 ล้านเหรียญดอลล่าร์ เลยทีเดียว และในปี 2002 (พ.ศ. 2546) ได้ทำการกู้ซากเรือ Monitor ขึ้นมาจากท้องทะเล และได้นำซากเรือ Monitor ไปไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ Mariners จนถึงปัจจุบัน


เรือ U.S.S. Monitor กำลังอับปาง


ซากเรือ U.S.S. Monitor ในปัจจุบัน

7. S.S. Andrea Doria

เรือ S.S. Andrea Doria เป็นเรือสำราญของบริษัท Italian Line ประเทศอิตาลี เรือลำนี้อับปางลง ในวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ.1956 (พ.ศ. 2499) หลังจากเรือชนกับเรือ M.S. Stockholm อย่างหนัก โดยเที่ยวเรือสุดท้ายของเรือลำนี้ เป็นเที่ยวขนส่งผู้โดยสารกับลูกเรือ 1,600 ชีวิต จาก Nantucket รัฐแมนซาซูเซตส์ ไปยัง นครนิวยอร์ก ในวันที่ 17 กรกฎาคม ในระหว่างการออกเดินทาง เรือ M.S. Stockholm เรือชนน้ำแข็งของสวีเดน ได้เข้าใกล้กับเรือ S.S. Andrea Doria และลูกเรือได้ส่งสัญญาณให้เรือลำนั้นเพื่อให้เรือออกห่าง แต่ด้วยสภาพอากาศที่หมอกลงจัด ทำให้เรือ Stockholm ไม่เห็นสัญญาณ

และในที่สุดเรือ Andrea Doria กัย เรือ Stockholm ก็ได้ชนกันอย่างรุนแรง ส่งผลทำให้กราบขวา ของเรือเสียหายหนัก ผู้โดยสารทุกคนต่างแตกตื่นและรีบหนีลงเรือบดอย่างรวดเร็ว และเจ้าหน้าที่วิทยุได้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากเรือต่างๆโดยรอบ

"SOS DE ICEH SOS HERE AT 0320 GMT LAT. 40.30 N 69.53 WE NEED IMMEDIATE ASSISTANCE"
ข้อความ SOS ของเรือ S.S. Andrea Doria

เรือหลายลำได้รับข้อความ SOS นี้แต่ไม่มีเรือลำนั้นสามารถมาช่วยเหลือได้เลย แต่โชคก็เข้าข้างเพราะเรือยังทรงตัวได้จนถึงในวันต่อมา เรือ U.S. Air Force ก็ได้รับผู้โดยสารทั้งหมดไปสู่นิวยอร์ก และทิ้งเรือเอาไว้ พร้อมกับกัปตันและลูกเรือบางส่วน เพื่อรอการกู้เรือ แต่เมื่อเรือกู้ภัยมาในเวลา 09:00 am คนบนเรือบอกว่าเรือลำนี้เสียหายมากเกินกว่า จะกู้เรือได้แล้ว จึงได้สั่งให้ปล่อยเรือเอาไว้ และให้กัปตันกับลูกเรือขึ้นเรือกู้ภัย ต่อมาในเวลา 10:04 am เรือก็ได้อับปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 26 คน ซากเรือ S.S. Andrea Doria ในใต้ท้องมหาสมุทร ได้พบซากเรือลำนี้เมื่อปี 2005 (พ.ศ. 2548) และได้ไปสำรวจเพื่อนำขึ้นมาจากมหาสมุทรในปี 2010 (พ.ศ. 2553) แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะไม่มีใครพบซากเรือเลย

เหตุการณ์อับปางของเรือลำนี้ ได้แสดงถึงความแตกต่างของการอับปางของเรือลำนี้ กับ Titanic โดยสิ้นเชิง เพราะในการอับปางของเรือ Titanic เจ้าหน้าที่วิทยุของเรือต่างๆโดยรอบหลับกันหมด ยกเว้นเรือ Carpathia เท่านั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,500 กว่าชีวิต แต่ในเหตุการณ์อับปางของเรือ Andrea Doria เจ้าหน้าวิทยุของเรือต่างๆโดยรอบได้ทำหน้าที่อยู่ทำให้เรือหลายลำสามารถเดิน ทางมาช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้ ถึงแม้สภาพอากาศจะเกิดหมอกจัด แต่ก็สามารถเดินทางมาช่วยเหลือได้ (มันน่าจะขึ้นอยู่กับโชคด้วย เพราะเรือลำนี้อับปางหลังชนกับเรือ Stockholm ตั้ง 11 ชั่วโมง) และมีผู้เสียชีวิตเพียง 26 คนเท่านั้น


เรือ S.S. Andrea Doria อับปางลง หลังชนกับเรือ Stockholm


ซากเรือ S.S. Andrea Doria (ภาพถ่ายเมื่อปี 2005)


6. M.V. Wilhelm Gustloff

เรือ M.V. Wilhelm Gustloff เป็นเรือโดยสารของบริษัท Hamburg-South America Line เป็นเรือประเทศ เยอรมนี เรือลำนี้อับปางลง ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) หลังโดนเรือดำน้ำ S-13 ของโซเวียต ระดมยิงตอร์ปิโด 4 ลูก ใส่เรือจนเรืออัปปาง พร้อมชีวิตของผู้โดยสารถึง 9,400 คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์เรืออัปปางที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยเที่ยวเรือสุดท้ายของเรือลำนี้ เป็นเที่ยวขนส่งผู้โดยสารซึ่งประกอบด้วย ทหารนาซีเยอรมัน โดยเฉพาะทหารประจำเรือดำน้ำ ประมาณพันนาย พร้อมอาวุธสงครามจำนวนมาก และผู้อพยพมากมาย หลายพันคน รวมทั้งหมด 10,600 ชีวิต

ระหว่างการออกเดินทางของเรือลำนี้ เวลาประมาณ 21:00 น. เรือดำน้ำ S-13 ได้รับคำสั่งให้ยิงตอร์ปิโดชื่อ "For Stalin" ถล่มเรือ Wilhelm Gustloff เพราะเป็นเรือคู่อริของสงคราม โดยตอร์ปิโดได้เข้าชนห้องเครื่องยนต์ ห้องควบคุมไฟฟ้า และห้องโดยสารใต้เรือ เรือได้รับความเสียหายอย่างหนักมาก และอัปปางลงอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารทั้งหมดได้พยายามเอาตัวรอดด้วยการลงเรือบด แต่เรือบดที่ปล่อยลงนั้นกับขาดออกจากกัน และปล่อยเรือบดได้ยากมาก ทำให้ผู้โดยสารเอาตัวรอดด้วยการกระโดดลงน้ำทะเล แต่น้ำในท้องทะเลในช่วงนั้นมีอุณหภูมิต่ำมากคือ -18 ถึง -10 ° C ทำให้ผู้คนแทบทั้งหมดแข็งตายอย่างรวดเร็ว และเรือก็อับปางลงในทะเลบอลติก ในเวลาเพียง 45 นาที ซึ่งผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้มีเพียง 1,000 กว่าคนเท่านั้น

การอัปปางของเรือลำนี้ มีผู้เสียชีวิตถึง 9,400 คน ซึ่งมีเด็กเสียชีวิตมากมายถึง 5,000 คน ทำให้นานาชาติ ต่างได้รุมประนามโซเวียตรัสเซีย ที่กระทำการแบบนี้ แต่ทางการโซเวียตได้ออกมาแสดงความชอบทำต่อการกระทำนี้เพราะ เรือ Wilhelm Gustloff ได้อาวุธสงครามในเรือ ถ้าไม่ทำให้เรืออับปางเรืออาจพบเรือดำน้ำลำนี้ และจะกลับมาทำลายเรือลำนี้ ซากเรือ Wilhelm Gustloff ได้ค้นพบในปี 2006 (พ.ศ. 2549) 


เรือ M.V. Wilhelm Gustloff กำลังอับปาง 


ซากเรือ M.V. Wilhelm Gustloff ในปัจจุบัน

5. U.S.S. Maine

เรือ U.S.S. Maine เป็นเรือรบของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ใช้งานในสงครามต่างๆของอเมริกา เรือลำนี้เป็นเรือที่เกิดการอับปางลง ในวันที่ 15 กุมพาพันธ์ ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441) ด้วยสาเหตุการระเบิดในส่วนล่างของเรือ

การอับปาง เกิดขึ้นในช่วง กบฏคิวบา เรือได้ขนส่งทหารอเมริกัน เพื่อที่จะคุ้มกันคนอเมริกันในคิวบา แต่ระหว่างทางเรือได้ระเบิดขึ้นตรงส่วนล่างของเรือทำให้ลูกเรือต้องเสีย ชีวิตทันที 260 คน ซึ่งในภายหลังก็ได้มีการเปิดเผยของทีมงานสอบสวนว่าการระเบิดเกิดจากดินปืน ของปืนใหญ่จำนวนห้าตัน หลังจากการระเบิด เจ้าหน้าที่สเปนและเรือ City of Washington ก็ได้เดินทางมาช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ซึ่งตอนนั้นก็ได้มีการสงสัยกันว่าจะเป็นการก่อวินาศกรรม

ซึ่งหลังการสอบสวนโดยหน่วยสอบสวนอเมริกัน ได้สรุปว่าสาเหตุที่เรือระเบิดนั้นมาจากทุ่นระเบิดใต้ทะเล และผู้คนจำนวนมากสงสัยว่าน่าจะเป็นการกระทำของสเปน โดยซากเรือทั้งหมดได้ซ่อมแซมและนำมาเก็บไว้ที่ Havana Harbor และได้จัดการโดยการทำลายเรือ และทำให้อับปางลง ที่นอกชายฝั่งของคิวบา และซากเรือ ก็ได้ถูกค้นพบอีกครั้ง เมื่อปี 2000 (พ.ศ. 2543) ที่ รัฐฟลอริดา

เรือ U.S.S. Maine กำลังอับปาง



4. German battleship Bismarck

เรือ Bismarck เป็นเรือรบประจัญบานของเยอรมนี และหนึ่งในเรือรบที่มีชื่อเสียงที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง Bismarck เป็นเรือลำแรกในเรือประจัญบานชั้นบิสมาร์ค ซึ่งตั้งตามชื่อนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ออตโต ฟอน บิสมาร์ค Bismarck มีระวางขับน้ำเต็มที่ถึง 50,000 ตัน และเป็นเรือประจัญบานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เข้าประจำการในสมัยนั้น Bismarck ได้ปฏิบัติการเพียงครั้งเดียวตลอดอายุการใช้งานอันสั้นของเรีอลำนี้ เรือลำนี้อับปางลงในวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) หลังเครื่องบินปีกสองชั้นของกองทัพเรืออังกฤษได้ยิงตอร์ปิโดถล่มเรือและทำ ให้หางเสือเรือขัดข้อง และการโจมตีเรือรบหนักของอังกฤษ

การอับปางของเรือลำนี้เกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการไรนือบุง นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิลล์ ออกคำสั่ง "จมเรือบิสมาร์ค" ซึ่งกระตุ้นให้กองทัพเรืออังกฤษติดตามเรือบิสมาร์คไปอย่างไม่ลดละ และในระหว่างที่เรือกำลังกลับจากปฏิบัติการนี้ เวลา 09:02 am เครื่องบินรบอังกฤษได้ระดมยิงตอร์ปิโดจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่เรือเสียชีวิตกันมากมาย และหางเสือเรือทรงตัวไม่ได้ และเรือรบ 4 ลำของอังกฤษ ได้ยิงปืนใหญ่ถล่มเรือ Bismarck จนเรือเสียหายอย่างรุนแรง และในที่สุดเวลา 10:20 am เรือก็อับปางลง พร้อมชีวิตของเจ้าหน้าที่เรือ 2,200 ชีวิต มีเพียง 114 ชีวิตเท่านั้นที่รอดมาได้

หลังเหตุการณ์นี้ ได้เกิดสิ่งต่างๆตามมามากมาย เช่น หนังสือ Last Nine Days of the Bismarck ของ C. S. Forester หนังเรื่อง  Sink the Bismarck! เพลง Sink the Bismarck. ขับร้องโดย Johnny Horton ซึ่งทั้งสามอย่างนี้เกิดขึ้นในปีเดียวกันกับการอับปางของเรือ ซากเรือ  Bismarck ได้ค้นพบในปี 2001 (พ.ศ. 2544)


เรือ Bismarck ถูกถล่มโดยเรือรบจากอังกฤษ


เรือ Bismarck กำลังอับปาง


ซากเรือ Bismarck ในปัจจุบัน
3. R.M.S. Lusitania

เรือ R.M.S. Lusitania เป็นเรือสำราญของบริษัท Cunard Line เป็นเรือประเทศ สหราชอาณาจักร เป็นเรือคู่แฝดกับ R.M.S. Mauretania ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าลูซิเทเนียถึง 400 ตัน ซึ่งครั้งหนึ่งเรือคู่นี้เคยเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเรือที่เร็วที่ สุดในโลก เรือลำนี้อับปางลง ในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915  (พ.ศ. 2458) หลังโดน เรือดำน้ำเยอรมันยิงตอร์ปิโดเข้าใส่จนเรืออับปาง โดยเที่ยวเรือสุดท้ายของเรือลำนี้ เป็นเที่ยวขนส่งผู้โดยสารกับลูกเรือ 1,959 คน จากเมืองลิเวอร์พูล ไปยัง นครนิวยอร์ก ซึ่งขณะนั้นอยู่ในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และก่อนหน้าที่เรือจะออกเดินทาง วันที่ 22 เมษายน เยอรมนีได้ส่งคำเตือนมายังข้อความโฆษณาของ Lusitania รวมทั้งสร้างความกังวลต่อผู้โดยสารและลูกเรือเป็นอย่างยิ่ง

ระหว่างการออกเดินทางของเรือลำนี้เวลาประมาณ 14:10 น. เรือดำน้ำ U-20 ของประเทศเยอรมนี ได้พบเรือ Lusitania และเห็นว่าเป็นเรือคู่สงครามจึงได้สั่งให้ยิงตอร์ปิโด 1 ลูกเข้าใส่เรือ

เกร็ดความรู้ : มีคนเล่าว่าเจ้าหน้าที่ในเรือดำน้ำคนชาวเยอรมันหนึ่ง ไม่เห็นด้วยต่อการยิงตอร์ปิโด ใส่เรือ Lusitania เพราะเรือลำนี้เป็นเพียงเรือสำราญที่มีผู้หญิงกับเด็กๆ อยู่มาก

ตอร์ปิโดที่ฝ่ายเยอรมันยิงมานั้นได้เข้าถล่มเรือ Lusitania อย่างรุนแรง และเรือก็อับปางลงอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารทั้งหมดรีบลงเรือบดเพื่อเอาตัวรอดแต่เนื่องจากการอับปางของเรือลำ นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ผู้โดยสารทุกคนไม่ทันตั้งตัวและขาดสติทำให้ ผู้โดยสารจำนวนมากอัดเข้าไปอยู่ในเรือบดจนเรือบดแตกออกมาทำให้ผู้โดยสารได้ รับบาดเจ็บในท้องทะเล และส่งผลผู้โดยสารจมน้ำ เพราะหมดแรงว่ายและไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพ เรือ  Lusitania อับปางลงสู่ก้นทะเลในทะเลเคลติก ในเวลาเพียง 18 นาทีเท่านั้น มีผู้เสียชีวิต 1,198 คน รอดชีวิต 761 คน

หลังเหตุการณ์อับปางอังกฤษ ตัดสินใจที่จะเอาเรื่องกับเยอรมนี ที่กระทำการนี้ ทำให้เยอรมนีสัญญาว่าจะไม่โจมตีเส้นทางของเรือพาณิชย์อีก ขณะที่อังกฤษได้ติดอาวุธให้กับเรือพาณิชย์ของตน ในที่สุดแล้ว ต้นปี 1917 เยอรมนีได้กักนโยบายกลยุทธ์เรือดำน้ำแบบไม่จำกัด เนื่องจากกลัวว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงคราม ด้านเยอรมนีพยายามที่ค้นหาเส้นทางการเดินเรือของฝ่ายพันธมิตรก่อนที่สหรัฐ อเมริกาจะขนส่งกองทัพขนาดใหญ่ข้ามทะเลมาได้ สำหรับซากเรือ Lusitania ได้ค้นพบในปี 1982 (พ.ศ. 2526) ณ บริเวณเดียวกันกับที่เรืออับปาง


โฆษณา การเดินเรือ Lusitania ด้านล่างเป็นคำเตือนจากเยอรมนี
แปล : คำเตือน!
นักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะเดินเรือในแถบมหาสมุทรแอตแลนติก โปรดทราบว่า ขณะนี้สงครามระหว่างฝ่ายเยอรมันและพันธมิตรกับฝ่ายอังกฤษและพันธมิตรกำลัง อยู่ในภาวะตึงเครียด บริเวณน่านน้ำที่ได้รับผลกระทบรวมไปถึงหมู่เกาะในการปกครองของอังกฤษด้วย ซึ่งทางรัฐบาลเยอรมันได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า เรือลำใดก็ตามที่ติดธงอังกฤษหรือธงชาติพันธมิตรใด ๆ จะถูกโจมตีจากกองทัพเยอรมัน ดังนั้นนักท่องเที่ยวท่านใดที่ประสงค์จะเดินทางโดยเรือเหล่านี้ สามารถทำได้โดยรับความเสี่ยงเอาเอง
สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี,
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 22 เมษายน ค.ศ. 1915



เรือ Lusitania ถูกตอร์ปิโดของเยอรมนี ถล่มเรือ


เรือ Lusitania กำลังอับปาง


ซากเรือ Lusitania ในปัจจุบัน

2. U.S.S. Arizona

เรือ U.S.S. Arizona เป็นเรือรบของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ใช้งานในสงครามโลกครั้งที่ 1 เรือลำนี้เป็นเรือที่เกิดการอับปางลง เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) หลังโดนโจมตีอย่างหนักจากกองทัพญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังเรือได้ใช้งานมากว่า 38 ปี

การอับปางเกิดขึ้นขณะเรือลำนี้ กำลังออกเดินทางเพื่อเตรียมประจำการซ่อมแซมเรือ Vestal และระหว่างทางในวันที่ 7 ธันวาคม เวลาก่อน 08:00 am เครื่องบินรบ 6 ลำจากญี่ปุ่นในยิงตอร์ปิโดจำนวนมากมายมหาศาล ถล่มเรือจนเสียหายแทบทั้งลำ และเรือก็ค่อยๆอับปาง เจ้าหน้าที่ทั้งหมดตกใจและเอาตัวรอดไม่ทัน เพราะการโจมตีนี้เป็นการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว และในที่สุดเรือก็ระเบิดทั้งลำระหว่างเรืออับปาง ณ อ่าว Pearl Harbor ในเวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้น มีผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่และลูกเรือทั้งหมด 1,177 นาย รอดชีวิตเพียง 335 คนเท่านั้น

เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งใน ยุทธการโจมตีที่ Pearl Harbor ที่ญี่ปุ่น กับ อเมริกา เป็นคู่ต่อสู้ และ เรือ U.S.S. Arizona เป็นหนึ่งใน เรือรบกว่า 19 ลำที่ถูกจมในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เพราะไมได้มีการเตรียมตัวมาก่อน สำหรับซากเรือ ถึงแม้เรือระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ว่าซากเรือก็สามารถค้นพบได้สำเร็จในปีเดียวกันกับที่เรืออับปาง ซึ่งปัจจุบันได้สร้างเป็น อนุสรณ์สถาน U.S.S. Arizona เพื่อรำลึกถึงการอับปางของเรือลำนี้ ซึ่งมีน้ำมันของเรือรั่วไหลออกมาด้วย จนเป็นเรื่องเล่าว่าเป็นน้ำตาของเรือ


เรือ U.S.S. Arizona กำลังอับปาง


เรือ U.S.S. Arizona ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ


ซากเรือ U.S.S. Arizona ในปัจจุบัน ณ อนุสรณ์สถาน U.S.S. Arizona


1. R.M.S. Titanic

เรือ R.M.S. Titanic ถ้าพูดถึงเรือลำนี้ทุกคน คงนึกถึงตำนานของเรือลำนี้ ทั้งความเศร้า ความรัก และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่โลกไม่ลืม เรือลำนี้เป็นเรือสำราญของบริษัท White Star Line เป็นเรือของสหราชอาณาจักร เรือลำนี้เป็นเรือที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่างๆของการเดินเรือทั่วโลก เพราะเรือลำนี้มีได้รับการออกแบบให้มีความสะดวกสบายและความหรูหราที่สุด โดยบนเรือมียิมเนเซียม สระว่ายน้ำ ห้องสมุด ภัตตาคารชั้นสูงและห้องจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขไร้สายทรงพลังซึ่งจัดเตรียมไว้เพื่อความสะดวกของผู้โดยสาร เช่นเดียวกับการใช้เชิงปฏิบัติการ มีคุณลักษณะความปลอดภัยที่ก้าวหน้า เช่น ห้องกันน้ำและประตูกันน้ำที่ทำงานด้วยรีโมต ความเร็วของเครื่องยนต์สูงสุดที่อยู่ที่ 21 นอต สามารถจุผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 3,547 คน เป็นเรือที่มีฉายาอันโดดเด่นว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" และเรือลำนี้ยังเป็นเรือลำแรกที่ใช้สัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลืออีกด้วย

แต่ถึงกระนั้นเรือลำนี้ ยังมีความบกพร่องด้านความปลอดภัยหลายประการ ทั้งขาดเรือชูชีพที่เพียงพอสำหรับบรรทุกผู้โดยสารทุกคนบนเรือ เนื่องจากระเบียบความปลอดภัยในทะเลที่ล้าสมัย จึงมีเรือชูชีพเพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 1,178 คนเท่านั้น เกินครึ่งของผู้ที่เดินทางไปกับเรือในเที่ยวแรกเล็กน้อย และหนึ่งในสามของความจุผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดเท่านั้น

เริอลำนี้ออกเดินทางครั้งแรก และครั้งเดียว ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 (พ.ศ. 2455) โดยระหว่างการออกเดินทางได้มีการส่งคำเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งเป็นจำนวนมาก และ เรือลำนี้ก็อับปางลง ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 (พ.ศ. 2455) หลังชนกับภูเขาน้ำแข็ง โดยเวลาอับปางนั้นอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 40 นาที

การอับปางเกิดขึ้นในเวลา 23:39 น. ของวันที่ 14 เมษายน เจ้าหน้าที่เสากระโดงเรือได้แจ้งว่า มีภูเขาน้ำแข็งอยู่ข้างหน้า ลูกเรือพยายามหักขวาและถอยหลังอย่างเต็มที่ แต่ด้วยความใกล้จนเกินไป และความไม่สมดุลของหางเสือเรือจึงชนกับภูเขาน้ำแข็ง ในเวลา 23:40 ที่ 41 องศา 46 ลิปดาเหนือ 50 องศา 14 ลิปดาตะวันตก สร้างความเสียหายทางกราบขวาของเรือซึ่งเป็นจุดอ่อนทนรอยแตกได้ไม่ทนทานเท่า จุดอื่น ๆ น้ำได้ทะลักเข้าห้องเครื่องส่วนหัว 5 ห้องเครื่องแรก น้ำท่วมห้องเครื่องทั้งห้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ วิศวกรเรือได้รายงานว่าน้ำจะทะลักเข้าเรือเรื่อยๆและจะอับปางอย่างช่วยไม่ ได้

หลังกัปตันได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จึงสั่งให้ปล่อยเรือบดทั้งหมด โดยใช้กฎ "ผู้โดยสารชั้นหนึ่งลงก่อน และต้องให้ผู้หญิงกับเด็กๆลงก่อนเท่านั้น" ซึ่งเจ้าหน้าที่วิทยุของเรือ ได้ส่ง SOS ไปยังเรือต่างๆ ซึ่งเรือที่ตอบกลับมามีเพียงลำเดียวคือเรือ R.M.S. Carpathia ซึ่งจะมาถึงใน 4 ชั่วโมง การปล่อยเรือบดเป็นไปอย่างยากลำบากมากยิ่งขึ้น เมื่อผู้โดยสารบางส่วนเร่งรีบและเกิดความชุลมุนตลอดเวลา และด้วยความไม่รู้ของลูกเรือว่าเรือบดจุผู้คนได้เท่าไร จึงปล่อยเรือบดออกทั้งที่ยังใส่คนไม่เต็มที่ ทำให้แทนที่เรือสำรองจะช่วยชีวิตได้ 1,178 คนตามที่ถูกออกแบบ กลับรับผู้โดยสารมาเพียง 712 คนเท่านั้น

เวลาผ่านไปความเสียสละของผู้คนก็เยอะยิ่งขึ้น ทั้งกัปตันที่ยอมตายในหน้าที่ หัวหน้าวิศวกรที่ยอมสละชีวิตไปพร้อมกับเรือลำนี้ และวงดนตรีของเรือที่เล่นดนตรีไปจนถึงวินาทีสุดท้าย เวลาผ่านไปกระทั่งเวลา 01:45 am น้ำเริ่มเข้าท่วมบริเวณระเบียงด้านหัวเรือ ในขณะนี้ ชั้น A ด้านหัวเรือ เหลือความสูงจากผิวน้ำ 3 เมตร ไม่นานน้ำเริ่มไหลเข้าท่วมดาดฟ้าเรือบริเวณส่วนหัว ท่วมห้องบังคับการเรือ และเริ่มเข้าท่วมลึกเข้าไป ไม่นานปล่องควันปล่องที่ 1 ก็หักโค่นเพราะแรงดันน้ำที่อัดฐานปล่องควัน จึงเปิดทางให้น้ำทะลักเข้าไปในตัวเรือส่งผลให้เรือเริ่มยกตัวสูงขึ้นและ เริ่มเอียงไปทางซ้ายมากขึ้น เรืออับปางอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารบางส่วนกระโดดออกจากเรือเพื่อเอาชีวิตรอดและหวังจะว่ายไปที่เรือบด แต่น้ำทะเลในตอนนั้นอุณหภูมิแทบติดลบ ทำให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่จะแข็งตายซะก่อน

และในที่สุดเรือก็ขาดออกจากกันเป็นสองท่อน และเรือก็อับปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ในเวลา 02:20 am 2 ชั่วโมง 40 นาที หลังเรือชนกลับภูเขาน้ำแข็ง ผู้โดยสารก็ 1,500 ชีวิต ลงไปลอยคอในน้ำทะเลที่เยือกเย็น และก็เสียชีวิต ด้วยสภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำเกินไป มีผู้รอดชีวิตจากน้ำทะเลเพียง 11 คน เท่านั้น (ไม่ใช้ 6 คนอย่างที่ในหนัง Titanic บอก) และผู้รอดชีวิตทั้งหมดจากเหตุการณ์นี้มีทั้ง 710 คน ซึ่งเรือ R.M.S. Carpathia ได้มารับผู้รอดชีวิตทั้งหมด

หลังเหตุการณ์นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆมากมาย ทั้งกฎโทรเลขบนเรือและการเดินเรือ ที่เข้มงวดขึ้น การจัดตั้งอนุสัญญาความปลอดภัยของชีวิตในทะเลระหว่างประเทศ (SOLAS) ใน ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) ซึ่งยังควบคุมความปลอดภัยในทะเลตราบจนทุกวันนี้ รวมทั้งซากเรือก็ได้ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) และการเป็นมรดกโลกใต้ทะเลอันเป็นมรดกอันทรงคุณค่า และในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ก็ได้มีภาพยนตร์รักอมตะที่กล่าวถึงเรือลำนี้ชื่อ ไททานิค กลายเป็นภาพยนตร์อมตะที่ตราตรึงใจจนถึงปัจจุบัน


แผนที่แสดงถึงบริเวณที่ เรือ Titanic เกิดอุบัติเหตุ


ภูเขาน้ำแข็งที่คาดว่าเรือ Titanic ชน


ภาพวาดเรือ Titanic กำลังอับปาง (วาดโดย Willy Stöwer)


ท้ายเรือ Titanic หงายขึ้นชี้ฟ้า (ภาพจากภาพยนตร์ Titanic)


เรือ Titanic ขาดเป็นสองท่อน (ภาพจากภาพยนตร์ Titanic)


ซากเรือ Titanic ในปัจจุบัน

ขอบคุณแหล่งที่มา 
http://pantip.com/topic/31924644