Sunday, November 15, 2015

เหตุการณ์การโจมตีทั่วกรุงปารีส

เหตุการณ์การโจมตีทั่วกรุง ประเทศฝรั่งเศส (14 พ.ย.) ล่าสุด มีการรายงานยอดผู้เสียชีวิตอย่างไม่เป็นทางการแล้ว อย่างน้อย 160 ศพ โดยลำดับเหตุการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีดังนี้
 04.00 น. ตามเวลาในไทย หรือ 22.00 น. ตามเวลาในฝรั่งเศส หรือกลุ่มผู้ก่อเหตุโจมตีด้วยระเบิดและการกราดยิงหลายจุดทั่วกรุงปารีส เบื้องต้น มี 3 แห่งคือ ศูนย์ศิลปะบาตาคล็อง (Bataclan) ผู้ก่อเหตุใช้ปืนออโตเมติกกราดยิงผู้เข้ามาการแสดงคอนเสิร์ตของวงดนตรีร็อค Eagles of Death Metal จากสหรัฐ 
จุดที่ 2 ร้านอาหาร และจุดที่ 3 ใกล้กับสนามสต๊าด เดอ ฟร้อง ย่านแซงต์ เดอ นีส์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งกำลังมีการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่างฝรั่งเศสกับทีมชาติเยอรมัน เบื้องต้น มีผู้เสียชีวิต 43 คน ขณะที่กลุ่มผู้ก่อเหตุยังจับประชาชนเป็นตัวประกันที่ศูนย์ศิลปะบาตาคล็อง
05.30 น. ตามเวลาในไทย สำนักข่าว CNN มีการกราดยิงถึง 6 จุด มีเสียงระเบิดดังขึ้นถึง 3 ครั้ง ที่สนามกีฬาสต๊าด เดอ ฟร้อง ขณะที่มีรายงานว่ามือปืน 2-3 คน บุกเข้าไปในศูนย์ศิลปะบาตาคล็อง และจับผู้ที่เข้าไปชมงานศิลปะและการแสดงคอนเสิร์ตเป็นตัวประกัน และยังกราดยิงที่ภัตตาคาร Le Petit Cambodge มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน
06.00 น. ตามเวลาในไทย นายฟรองซัวส์ โอลองด์ ประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศส ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ สั่งปิดชายแดน และงดภารกิจเดินทางไปประชุม G20 ที่ประเทศตุรกี 
ตำรวจระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสสงสัยว่า จะเป็นการกระทำของกลุ่มที่เดินทางไปช่วยกลุ่ม ISIS สู้รบในซีเรียและอิรัก และเดินทางกลับเข้ามายังฝรั่งเศส
08.00 น. ตามเวลาในไทย รัฐบาลฝรั่งเศสตัดสินใจส่งทหาร 1,500 คน เข้าควบคุมสถานการณ์ทั่วกรุงปารีส ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุที่มีเพิ่มขึ้นรวม 7 จุด ในขณะนั้น ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิต CNN รายงานว่า เพิ่มขึ้นเป็น 149 คน 
ขณะเดียวกันระบบขนส่งสาธารณะทั้งรถโดยสารประจำทาง และรถไฟฟ้าใต้ดินหยุดให้บริการ และมีการตัดกระแสไฟฟ้าตามถนน ขณะที่หอไอเฟลปิดไฟเพื่อไว้อาลัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจอยู่ในพื้นที่ โดยมีการประกาศให้ประชาชนอยู่ในที่พักอาศัยไม่ออกมาโดยไม่จำเป็น
08.30 น. ตามเวลาในไทย นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาแถลงการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐจะสนับสนุนฝรั่งเศส หลังจากที่เกิดเหตุในปารีส แต่ว่าขณะนั้นยังไม่ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐยังประณามเหตุที่เกิด และเสนอจะให้ความช่วยเหลือฝรั่งเศสอย่างเต็มที่ 
ขณะที่มีรายงานว่า ตำรวจจู่โจมบุกเข้าช่วยตัวประกันที่ ศูนย์ศิลปะบาตาคล็อง (Bataclan) ออกมาได้ประมาณ 100 คน โดยบางคนได้รับบาดเจ็บ และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม มีรายงานว่าคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 4 คน 
ทั้งนี้ แคนาดา เป็นชาติแรกที่ออกมาระบุว่า ไม่มีรายงานว่าประชาชนชาวแคนาดาในกรุงปารีสได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากนั้น สิงคโปร์ และ อินเดีย เป็น 2 ประเทศที่ออกมาระบุลักษณะเดียวกัน โดยนายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ออกมาประณามการก่อเหตุดังกล่าวเป็นชาติแรกในเอเชีย และประกาศยกระดับการเฝ้าระวังสถานการณ์และเตือนภัย รวมถึงระบุว่าจะจับตามองเหตุที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
ขอขอบคุณข้อมูลจากทวิตเตอร์ @ThaiPBS

Monday, October 26, 2015

10 ภาษาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน

1. ภาษาจีนกลาง (Mandarin / 普通话)
       
       "สวัสดี" ในภาษาจีนกลางพูดว่า "Ni hao" (หนี-ห่าว)
       
        ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในโลกประกอบไปด้วยหลากหลายชาติพันธุ์ จึงเป็นเหตุให้มีภาษาจีนกว่า 300 ภาษาในแต่ละพื้นที่ แต่ภาษาที่ใช้เป็นภาษาราชการของประเทศจีนคือ “ภาษาจีนกลาง” หรือ “ภาษาแมนดาริน” จากการรายงานในปี 2014 ภาษาจีนกลางเป็นภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในโลกกว่า 1 พันล้านคน มากเป็นสองเท่าของจำนวนคนที่พูดภาษาอังกฤษ และยังได้บรรจุเป็นภาษาของสหประชาติ (UN) อีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และได้รับการคาดการณ์ไว้ว่าในปี ค.ศ.2020 ประเทศจีนจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโลกอย่างแน่นอน การเรียนรู้ภาษาจีนกลางจึงจำเป็นและสำคัญมากในอนาคต รวมไปถึงผลการสำรวจภาษาที่มีการใช้มากที่สุดในอินเตอร์เน็ตภาษาจีนติดอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก รองจากภาษาอังกฤษ แม้จะเป็นภาษาที่ถือได้ว่ายากต่อการเรียนรู้ภาษาหนึ่ง แต่หากคุณสามารถสื่อสารทั้งเขียนและพูดภาษาจีนกลางได้เป็นอย่างดีแล้วหละก็ รับรองว่ามีผลต่ออาชีพหน้าที่การงานในอนาคตอย่างแน่นอน
         
2. ภาษาสเปน (Spanish / Español)
        
       "สวัสดี" ในภาษาสเปนพูดว่า "Hola" (โอ-ลา)
       
        ภาษาสเปนถูกใช้เป็นภาษาราชการในสามทวีป รวมแล้วกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และยังพบว่ามีคนพูดภาษาสเปนได้ถึง 400 ล้านคน จากการสำรวจในปี 2014 นอกจากนี้ภาษาสเปนยังเป็นภาษาที่สองของประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ดูได้จากผลการสำรวจสำมะโนประชากรในสหรัฐอเมริกาพบว่า ภาษาสเปน เป็นภาษาเริ่มแรกที่ใช้พูดกันในครอบครัวในช่วงอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปประมาณ 38.3 ล้านคน และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความสำคัญในด้านของเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่างประเทศ จำเป็นต่อการประกอบอาชีพของประชากร ภาษาสเปนจึงเป็นที่นิยมมากในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้มีการคาดการณ์ไว้ว่า คนที่มีสามารถพูดและสื่อสารภาษาสเปนได้ดีจะทำให้มีอัตราค่าจ้างเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1.7 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ภาษาสเปนยังเป็นภาษาที่ใช้ในอินเตอร์เน็ตมากที่สุดอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากภาษาจีน และภาษาอังกฤษ นั่นเอง  
       
3. ภาษาญี่ปุ่น ( Japanese/ 日本語 )
       
       "สวัสดี" ในภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “Hajimemashite” (ฮะ-จิ-เมะ-มะ-ชิ-เตะ)
       
        ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีทั้งการลงทุนและขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงทำให้ภาษาญี่ปุ่นยังคงเป็นภาษาที่มีอิทธิพลมาก ผู้คนทั่วโลกต้องการที่จะศึกษาภาษาญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารทำธุรกิจกับนายทุนจากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง และนอกเหนือจากด้านของการทำธุรกิจแล้ว ภาษาญี่ปุ่นยังมีความน่าสนใจในด้านของวรรณกรรมต่างๆ การที่เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้ก็สามารถทำให้เราอ่านหนังสือดีๆ ของประเทศญี่ปุ่นได้อีกมากด้วยเช่นกัน ปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยคิดเป็น 40% ของบริษัทต่างชาติทั้งหมด ในหลายองค์กรจึงต้องการบุคลากรที่มีความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนในประเทศญี่ปุ่นยังพูดภาษาอังกฤษได้น้อย จึงต้องการคนที่สื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ดี จึงทำให้มีค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ปัจจุบันมีผู้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการกว่า 130 ล้านคนทั่วโลก แม้จะเป็นภาษาที่สำคัญในด้านธุรกิจและเศรษฐกิจระหว่างประเทศมาก แต่ภาษาญี่ปุ่นก็เป็นภาษาที่ค่อนข้างยากถึงขั้นต้องเรียกว่าพิสดารเลยทีเดียว เพราะมีไวยากรณ์ที่ซับซ้อน มีความละเอียดอ่อนมาก เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ และสถานะของบุคคลอีกด้วย
      
4. ภาษาโปรตุเกส (Portuguese/ Português)
       
       "สวัสดี" ในภาษาโปรตุเกสพูดว่า “Olá” (โอ-ล๊ะ)
       
        แม้ว่าความต้องการของภาษาโปรตุเกสจะไม่ฮอตเท่ากับภาษาสเปน แต่ภาษาโปรตุเกสก็เป็นภาษาราชการในหลายประเทศทั่วโลก อาทิเช่น ประเทศโปรตุเกส บราซิล แองโกลา โมซัมบิก และประเทศติมอร์-เลสเต เป็นต้น รวมแล้วมีคนพูดภาษาโปรตุเกสได้กว่า 200 ล้านคนทั่วโลก จัดอยู่ในอันดับที่ 6 ภาษาที่มีคนพูดได้มากที่สุดในโลก หากพิจารณาในด้านของเศรษฐกิจแล้วจะเห็นได้ว่าประเทศส่วนใหญ่ที่ใช้ภาษาโปรตุเกสจะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ในแถบทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศบราซิลที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรจำนวนมาก กำลังต้องการที่จะขยายเศรษฐกิจออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่ยังขาดแคลนคนที่สามารถพูดและใช้ภาษาโปรตุเกสได้เป็นอย่างดี ถือเป็นข้อได้เปรียบและมีประโยชน์มากเพราะคนที่มีความรู้ด้านภาษาโปรตุเกสนี้มีน้อย แต่การเรียนรู้ภาษาโปรตุเกสต้องบอกเลยว่ายากกว่าภาษาสเปน แต่ก็ไม่ยากเท่ากับภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส

 5. ภาษาเยอรมัน (German/ Deutsch)

        
       "สวัสดี" ในภาษาเยอรมันพูดว่า “Hallo” (ฮา-โล)
       
        แม้ภาษาเยอรมันจะไม่ได้เป็นหนึ่งในภาษาของสหประชาชาติ แต่ก็เป็นภาษาราชการของประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจของยุโรปหลายประเทศ นอกจากประเทศเยอรมนีที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการแล้ว ยังมีประเทศใกล้เคียงที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาพูดอีกด้วย เช่น ออสเตรีย, เบลเยียม, เดนมาร์ก, ฮอลแลนด์, ลิกเตนสไตน์, ลักเซมเบิร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ รวมแล้วประมาณ 100 ล้านคน จึงทำให้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในยุโรปอีกด้วย อย่างประเทศเยอรมนีที่มีความแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในสหภาพยุโรป ความสามารถในการพูดภาษาเยอรมันจึงมีประโยชน์และสำคัญมากในด้านการทำธุรกิจระหว่างประเทศกับประเทศในแถบยุโรป หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็มีบริษัทมากมายที่มาจากประเทศเยอรมัน จึงเป็นที่คาดการณ์ว่าผู้ที่สามารถสื่อสารภาษาเยอรมันได้จะทำให้มีอัตราค่าจ้างสูงขึ้นประมาณ 4% และยังเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้เพราะมีลักษณะคล้ายภาษาอังกฤษ แต่จะยากในส่วนของไวยากรณ์
      
6. ภาษาอาหรับ (Arabic /العربيةالعربية)
       
       "สวัสดี" ในภาษาอาหรับพูดว่า "Al salaam a’alaykum" (อัสสะลามมุอะลัยกุม)
       
       ภาษาอาหรับ หรือ ภาษาอารบิค หนึ่งในภาษาของสหประชาชาติ และเป็นภาษาราชการของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น อิรัก, คูเวต, จอร์แดน, อิสราเอล, แอลจีเรีย, บาห์เรน, ปาเลสไตน์, ซาอุดีอาระเบีย และอื่นๆ อีกมากมาย จะเห็นได้ว่าภาษาอารบิคเป็นภาษาของศาสนาอิสลามที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด และมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวมากขึ้นทุกปี โดยสถิติล่าสุดในปี 2014 มีผู้พูดภาษาอารบิคได้ทั้งหมด 246 ล้านคนจากทั่วโลก มากเป็นอันดับที่ 6 และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาษาอารบิคเป็นอีกหนึ่งภาษาที่น่าสนใจนั่นก็คือ กลุ่มประเทศในตะวันออกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศผู้มีอิทธิพลในเศรษฐกิจน้ำมันโลก ทำให้ในอนาคตข้างหน้าภาษาอารบิคจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเรียนภาษาอาหรับต้องบอกเลยว่า เป็นภาษาที่มีระดับความยากอยู่ที่อันสามรองจากภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่นเลยทีเดียว เนื่องจากว่ามีระบบการเขียนที่ยาก และหลักไวยากรณ์ที่ซับซ้อนนั่นเอง
       
7. ภาษาฝรั่งเศส (French/ Français)
       
       "สวัสดี" ในภาษาฝรั่งเศสพูดว่า “Bonjour” (บงชูร์)
       
       ภาษาฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็นภาษาที่โรแมนติกและไพเราะมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นภาษาที่มีประวัติศาสตร์โดดเด่นมากในยุโรปก่อนที่ภาษาอังกฤษจะเกิดขึ้นเสียอีก และยังคงเป็นภาษาที่มีบทบาทมาจนถึงปัจจุบันถือเป็น 1 ใน 5 ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ (UN) เนื่องจากที่ฝรั่งเศสเคยเป็นประเทศอาณานิคมของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นอีกหนึ่งภาษาที่มีการใช้อย่างแพร่หลายสูงถึง 129 ล้านคนทั่วโลก (Top Ten Most Spoken Languages In The World In 2014) กว่า 40 ประเทศ และยังเป็น 1 ใน 10 ของภาษาที่พบมากที่สุดในอินเตอร์เน็ต ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้เพราะคล้ายกับภาษาอังกฤษมาก ยกตัวอย่างในประเทศแคนาดามีผู้ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก เพราะตำแหน่งงานส่วนใหญ่จะต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร จนถึงขั้นมีการคิดประเมินค่าจ้างไว้ว่าคนที่สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้จะมีค่าจ้างเพิ่งขึ้นถึง 2.7% เลยทีเดียว

       

8. ภาษารัสเซีย (Russian/ русский язык)
        
       "สวัสดี" ในภาษารัสเซียพูดว่า “Zdravstvuite” (สดร๊าสต-วุย-ถิ)
       
        ภาษารัสเซียเป็น 1 ใน 5 ของภาษาที่แพร่หลายมากที่สุดในโลก หนึ่งในลิสต์ภาษาที่เราต้องเรียนรู้เพราะเป็นทั้งภาษาสากล และภาษาทางการของสหประชาชาติ ทั่วโลกมีคนที่ใช้ภาษารัสเซียกว่า 277 ล้านคน จากผลสำรวจในปี 2014 ประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ภาษารัสเซียจึงมีความโดดเด่นมากสำหรับผู้ที่จะทำธุรกิจระหว่างประเทศ เพราะชาวรัสเซียส่วนใหญ่มีความเป็นชาตินิยม และอนุรักษ์นิยมค่อนข้างสูง ชาวรัสเซียโดยทั่วไปสื่อสารด้วยภาษาถิ่นของตนเอง และมีความรู้ภาษาอังกฤษไม่มาก เพื่อที่จะสามารถติดต่อทำธุรกิจกับประเทศรัสเซีย และประเทศอื่นๆ ที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการ จึงมีความต้องการล่ามหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษารัสเซียเป็นพิเศษ ทำให้มีผลต่ออัตราเงินเดือนที่จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 4% ต่อปี เมื่อพูดถึงในด้านของการเรียนรู้ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ค่อนข้างยากภาษาหนึ่ง เนื่องจากมีไวยากรณ์ที่ซับซ้อน คนไทยอาจมีปัญหาในเรื่องของการออกเสียงเนื่องจากค่อนข้างยากเช่นเดียวกัน แต่ก็เรียกได้ว่าภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ง่ายที่สุดในกลุ่มของ “ภาษายาก” นั่นเอง
       
9. ภาษาเกาหลี (Korean/ 한국어)
       
       "สวัสดี" ในภาษาเกาหลีพูดว่า “안녕하세요.” (อัน-นยอง-ฮา-เซ-โย)
       
        เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความมหัศจรรย์ทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเป็นหนึ่งประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในเชิงพาณิชย์สำรับอนาคตข้างหน้า โดยจะเห็นได้ว่าในประเทศไทยมีบริษัทที่มาลงทุนจากประเทศเกาหลีเป็นจำนวนมาก และโดยพื้นฐานแล้วคนเกาหลีส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษเท่าใดนัก จึงมีความต้องการคนที่สามารถพูดและสื่อสารภาษาเกาหลีได้ค่อนข้างสูง เพื่อมาทำงานในบริษัท หรือติดต่อด้านธุรกิจกับประเทศเกาหลีนั่นเอง ในสมัยก่อนคนไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาษาเกาหลีมากนัก ทั้งที่จริงแล้วประเทศไทยกับเกาหลีมีความสัมพันธ์กันหลายด้านอย่างเช่น การค้า เศรษฐกิจ ความมั่นคงทางศาสนา และการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันวัฒนธรรมเกาหลีก็ได้เข้ามามีบทบาทกับประเทศไทยมากขึ้นในเรื่องของแฟชั่น ภาพยนตร์ และดนตรี ทำให้มีสถานศึกษาและโรงเรียนกวดวิชาบางแห่งเปิดสอนภาษาเกาหลีขึ้นอย่างมากมาย หากใครจะเลือกภาษาเกาหลีมาเป็นภาษาที่ 3 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
      
10. ภาษาฮินดี (Hindi / हिन्दी, हिंदी)
       
       "สวัสดี" ในภาษาฮินดีพูดว่า “Namaste / Namaskar” (นมัสเต / นมัสการ)
       
        ภาษาอันดับที่ 4 ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก "ภาษาฮินดี" เป็นภาษาราชการของสาธารณรัฐอินเดีย และเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันทั่วไปของประเทศในแถบเอเชียใต้ เช่น ปากีสถาน เนปาล บังคลาเทศ ภูฏาน เป็นต้น โดยเฉพาะประเทศอินเดียที่ในปัจจุบันมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง และยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอยู่ในอันดับ 2 รองจากประเทศจีน ทำให้ภาษาฮินดีมีผู้ใช้ทั้งหมด 497 ล้านคน มีความสำคัญต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น อินเดียก็อยู่ในกลุ่มประเทศ AEC+6 ด้วย ในประเทศไทยมีสมาคมนักธุรกิจชาวอินเดียและชุมชนชาวอินเดียอยู่หลายกลุ่ม ซึ่งเกือบทั้งหมดยังนิยมใช้ภาษาฮินดีเป็นภาษากลางในการสื่อสารกัน แต่ภาษาฮินดีก็ไม่ได้เป็นภาษาสากลในประเทศอินเดียซะทีเดียว เพราะคนที่พูดฮินดีส่วนใหญ่ก็จะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีด้วยเช่นเดียวกัน
       
      
       รวบรวมข้อมูลและอ้างอิงจาก :
       http://dailynewsdig.com/top-ten-spoken-languages-world-2014/
       http://akarlin.com/2011/05/top-10-most-useful-languages/
       https://lingos.co/blog/best-languages-to-learn-in-the-world/
       http://www.manager.co.th
      

Monday, October 19, 2015

จุดเน้นในการเตรียมสอบ PAT1


          การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในหลายๆคณะนั้นวิชา PAT1 ก็เป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญเพราะคะแนน PAT1 นั้นจำเป็นต้องใช้ในการยื่นเพื่อเข้าในหลายๆคณะแทบทุกมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว การเตรียมตัวสอบ PAT1 ของน้องๆแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนอาจเลือกที่จะไป ติวPAT1 ตามสถาบันต่างๆ หรือบางคนอาจเลือกที่จะอ่านหนังสือเองอยู่บ้าน ซึ่งก็แล้วแต่ความถนัดของน้องๆ สำหรับวันนี้พี่ๆติวเตอร์จาก Top-A tutor ก็มีวิธีการ เตรียมตัวสอบ PAT1 มาฝากน้องๆทุกคน ซึ่งพี่เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆแน่นอน
1. ข้อสอบ PAT1 ยากประมาณไหน?
          จะเตรียมตัวสอบได้อย่างถูกต้องก็จำเป็นต้องรู้ว่า ข้อสอบนั้นยากประมาณไหนใช่ไหมละครับ ไม่เช่นนั้นจะไปเตรียมตัวกันถูกได้อย่างไร คำตอบก็คือ ความยากของข้อสอบ PAT1 นั้นอยู่ในระดับที่ถือว่ายากที่สุดในบรรดาการสอบแอดมิชชั่นวิชาคณิตศาสตร์เลยละ โดยข้อสอบ PAT1 นั้นยากกว่าข้อสอบ O-NET และยากกว่า 7 วิชาสามัญด้วยครับ ดังนั้นถ้าอยากได้คะแนน PAT1 สูงๆ เห็นทีจะต้องทุ่มเทให้มากหน่อยนะครับ
2. เรื่องที่ออกเยอะ
          แน่นอนว่าถ้าหากว่าน้องๆมีเวลาในการเตรียมตัวเหลือเฟือ การอ่านเนื้อหาทุกๆบทอย่างเข้มข้นย่อมดีกว่าการเก็งเฉพาะบทอยู่แล้ว แต่สำหรับหลายๆคนที่อ่านไม่ทัน ไม่พร้อมสอบ ขอให้น้องๆให้ความสำคัญกับหัวข้อเรื่องเหล่านี้ครับ เพราะเป็นหัวข้อที่ออกข้อสอบเยอะ และเก็บคะแนนได้ไม่ยากเลยละ ได้แก่ สถิติ ลำดับและอนุกรม ตรีโกณมิติ แคลคูลัส และความน่าจะเป็น 5 บทนี้ออกข้อสอบเยอะที่สุดในปีที่ผ่านๆมา ดังนั้นขอให้น้องโฟกัสในบทเหล่านี้ก็จะช่วยให้สามารถทำคะแนน PAT1 ได้สูงขึ้นอย่างแน่นอน
3. บทที่ต้องระวัง!!
          ถ้าพูดถึงหัวข้อที่ออกข้อสอบมาแล้วทำให้นักเรียนงงได้มากที่สุดหัวข้อหนึ่งคือ "ความน่าจะเป็น" แม้ว่าในบางครั้งโจทย์ก็ดูเหมือนจะง่ายแสนง่าย แต่หลายๆครั้งเมื่อคิดเร็วมากๆก็จะทำให้คำนวนพลาด และได้คำตอบที่ไม่ถูกต้องได้บ่อยเลยละ ดังนั้นการทำโจทย์เรื่องนี้ พี่แนะนำให้น้องๆคิดให้ละเอียดรอบคอบ เพราะโจทย์ที่ดูง่ายๆ อาจจะมีหลุมพลางอยู่เยอะมากจนเราคิดไม่ถึงเลยละครับ
4. อย่าลืมจับเวลา
          ในขั้นตอนการเตรียมตัวสอบ PAT1 ไม่ว่าน้องจะไป ติวPAT1 ที่ไหนมาก็ลืมกลับมาลองฝึกจับเวลาในการทำโจทย์เองที่บ้านด้วยละครับ เพราะในปีหลังๆจำนวนข้อสอบเมื่อเทียบสัดส่วนกับเวลาที่ให้มาแล้วนั้นค่อนข้างทีจะเป็น Speed Test อย่างมากเลยละ ดังนั้นถ้าไม่เคยลองฝึกจับเวลาในการทำข้อสอบแล้วละก็ อาจจะทำให้น้องๆทำข้อสอบในสนามสอบจริงไม่ทันได้นะครับ
5. หมั่นทำโจทย์เยอะๆๆ
          น้องๆหลายคนเลือกที่จะไป ติวPAT1 ตามที่ต่างๆมากมาย บางคนติวเกือบทั้งวัน แต่ไม่ได้กลับมาลองฝึกทำโจทย์เองเลย นั่นเป็นการเตรียมสอบที่ไม่ดีเท่าไหร่เลยละ เพราะวิชาคณิตศาสตร์นั้นเป็นวิชาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนทำโจทย์ให้เยอะๆ เพื่อให้เห็นรูปแบบโจทย์ที่หลากหลาย เมื่อต้องทำโจทย์ในห้องสอบก็จะสามารถคิดได้เร็วขึ้น ดังนั้นใครที่เลือกที่จะไป ติวPAT1 เกือบทั้งวัน เมื่อกลับถึงบ้านก็อย่าลืมแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไว้ฝึกทำโจทย์ด้วยตนเองด้วยนะครับ
cr.http://www.top-atutor.com/15104756/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-pat1

Thursday, October 8, 2015

การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส

การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง
       การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน (suffrage universel direct) มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีนี้ใช้ระบบเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด (คือได้คะแนนเสียงข้างมากเกินกว่า 50%)  แบ่งเป็นสองรอบ หากการเลือกตั้งรอบแรกไม่มีผู้ใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ก็นำผู้สมัครที่ได้ลำดับ 1 และ 2 มาเลือกตั้งในรอบที่สอง  รูปแบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีนี้ เป็นลักษณะเฉพาะของสาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศส  อย่างไรก็ดี วิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดีดังกล่าวมิได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันตั้งแต่ปีที่บังคับใช้ คือปี ค.ศ. 1958 (ซึ่งเดิมใช้ระบบการเลือกตั้งทางอ้อม) หากแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงนี้ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1962 โดยผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติของประชาชนในการเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง  
       
  คุณสมบัติและเงื่อนไขของการสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
         ผู้ที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้ ต้องมีสัญชาติฝรั่งเศส ต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี ขึ้นไป (การกำหนดอายุ 18 ปี ขึ้นไปนี้ เพิ่งได้รับการแก้ไขจากเดิมต้องมีอายุ 23 ปีขึ้นไป ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 14 เมษายน 2011 ที่ผ่านมา)  และเงื่อนไขที่สำคัญเพื่อป้องกันมิให้มีผู้สมัครรับเลือกตั้งมากจนเกินไป หรือใช้โอกาสการเลือกตั้งนี้เพื่อโปโมทตัวเองให้เป็นที่รู้จัก กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับการลงชื่อสนุบสนุนอย่างเป็นทางการจากนักการเมืองของฝรั่งเศส (ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน élu) ทั้งในระดับชาติ ระดับท้องถิ่น และระดับสหภาพยุโรป ไม่น้อยกว่า 500 คนขึ้นไป จาก 30 จังหวัดเป็นอย่างน้อย เพื่อให้เป็นผู้สมัครที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มิใช่เพียงแต่ภาคใดภาคหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการลงชื่อเป็นผู้สนับสนุนหรือเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งนี้ เป็นการลงชื่อจากนักการเมืองโดยอิสระ และไม่มีผลผูกผันใดๆกับผู้ลงชื่อสนับสนุนแต่อย่างใด  ผู้เขียนเคยได้ทราบมาว่า มีนายกเทศมนตรี หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหลายต่อหลายคนที่ลงชื่อสมับสนุนผู้สมับรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้เสียงข้างน้อย หรือบุคคลที่มาจากหลายๆได้มีโอกาสเข้ามาสมัครเลือกตั้งได้บ้าง เพื่อให้เกิดความหลากหลายและเคารพเสียงข้างน้อยตามระบอบประชาธิปไตย
    การส่งรายชื่อผู้สับสนุนจะต้องส่งให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและผู้สนับสนุนในรัฐกิจจานุเบกษา ซึ่งได้มีการประกาศเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา  จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งกำหนดให้วันหาเสียงเลือกตั้งวันสุดท้ายคือวันเสาร์ที่ 21 เมษายน เพื่อจะให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในรอบแรกวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา ผลปรากฎว่า ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง ดังนั้น จำเป็นต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในรอบสองขึ้น ระหว่างผู้ที่คะแนนอันดับที่ 1 และ 2  ซึ่งก็คือ นาย François Hollande ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งคือ 28,6 % และอันดับสอง เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือนาย Nicolas Sarkozy ได้คะแนน 27,3 % คงต้องติดตามกันต่อไปสำหรับการเลือกตั้งในรอบที่สอง ที่จะจัดให้มีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคมนี้